วันศุกร์ที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2561

วัตถุประสงค์ ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ

                       

การจักสาน
วัตถุประสงค์
    เพื่อเป็นแนวทางการอนุรักษ์ภูมิปัญญาท้องถิ่นงานหัตถกรรม
จักสานพื้นบ้านเครื่องจักสานไม้ไผ่ และเพื่อศึกษางานหัตถกรรม
พื้นบ้านการจักสานไม่ไผ่ โดยทั่วไปการสร้างเครื่องจักสาน
จะขึ้นอยู่กับเงื่อนไขทางความต้องการ ด้านประโยชน์ใช้สอย
ตามสภาพภูมิศาสตร์รวมถึงประเพณี ความเชื่อ ศาสนา และวัสดุ
ในท้องถิ่นนั้น ๆ ประกอบกันขึ้นเป็นเครื่องจักสานในรูปแบบ
และลวดลายต่าง ๆ



ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ
    การจักสาน เป็นงานศิลปหัตถกรรม ที่มีคุณค่ายิ่งอย่างหนึ่งของไทย ที่ทำสืบทอดกันมาแต่โบราณ แม้ทุกวันนี้จะมีเครื่องมือเครื่องใช้ ที่ทำจากโรงงานอุตสาหกรรมมากขึ้นก็ตาม แต่ก็ยังมีเครื่องมือเครื่องใช้หลายชนิด ที่ไม่สามารถผลิตด้วยวัตถุดิบอื่นๆ ที่ผลิตด้วยเครื่องจักรตามระบบอุตสาหกรรม มาใช้แทนเครื่องจักสานได้ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เครื่องจักสานมีอายุ ยืนยาวสืบต่อกันมานานนับพันปี และยังสร้างรายได้ให้กับผู้ที่จักสานรวมถึงการใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์อีกด้วย

วันเสาร์ที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2561





สมาชิกในกลุ่ม 

     1.นางสาวศิริลักษณ์    ยางหงษ์      เลขที่ 57   ห้อง613B    กลุ่มเรียน จันทร์เช้า
     2.นางสาวปพิชญา      ลากุล           เลขที่ 58   ห้อง613B    กลุ่มเรียน จันทร์เช้า
     3.นางสาวปภาวรินทร์ หาญยิ่ง       เลขที่ 59   ห้อง613B     กลุ่มเรียน จันทร์เช้า
     4.นางสาวรัตน์สุดา      กว้างขวาง   เลขที่ 60   ห้อง613B    กลุ่มเรียน จันทร์เช้า

การจักสานภาคใต้


     สภาพภูมิศาสตร์ ดินแดนภาคใต้ เริ่มจากจังหวัดชุมพร ระนอง สุราษฎร์ธานี พังงา ภูเก็ต กระบี่ นครศรีธรรมราช ตรัง พัทลุง สงขลา สตูล ปัตตานี ยะลา นราธิวาส รวม ๑๔ จังหวัด แผ่นดินภาคใต้มีลักษณะคล้ายแหลมยื่นลงสู่มหาสมุทร แคบและ ยาวเรื่อยไปจนถึงมาเลเซีย โดยมีเทือกเขาตะนาวศรีที่เชื่อมมาจากเทือเขาหิมาลัย ทอดยาวไปจนถึงจังหวัดกระบี่
ลักษณะโดยทั่วไปมีทั้งที่ราบ ป่าไม้ ทิวเขา มีหาดทรายชายทะเล ถ้ำ อุทยาน ทะเลสาบ เกาะทั้งเล็กและใหญ่ มีทิวทัศน์ธรรมชาติที่งดงามมาก ลุ่มน้ำสำคัญๆ ได้แก่ ตาปี หลังสวน ท่าทอง ปัตตานี ตะกั่วป่า ปากพนัง น้ำตรัง และลุ่มน้ำคีรีรัฐ นอกจากนี้บริเวณปากแม่น้ำยังมีอ่าวใหญ่ ๆเหมาะแก่การจอดเรืออีกด้วย เช่น อ่าวบ้านดอน อ่าวชุมพร และอ่าวสงขลา
แหล่งผลิตเกษตรกรรมที่สำคัญของภาคใต้คือฝั่งทะเลด้านตะวันออกของภาค มีลักษณะเป็นชุมชนใหญ่ ซึ่งต่างจากภาคตะวันตกที่มีเพียงกระบี่ ตรัง พังงา และสตูล เท่านั้น เขื่อนที่สำคัญของภาคใต้มี ๒ เขื่อนคือ เขื่อนขางลางและเขื่อนรัชประภา
การดำเนินชีวิต เนื่องจากพื้นที่ภาคใต้มีดินแดนที่ติดทะเลทั้งสองชายฝั่ง คือชายฝั่งด้านตะวันออกและชายฝั่งด้านตะวันตก จึงเป็นผลดีในการดำเนินชีวิตของประชากรส่วนใหญ่ นอกจากนี้ สภาพพื้นที่ราบ ที่มีแม่น้ำไหลผ่านหลายสาย ส่งผลให้ประชากรส่วนใหญ่ดำเนินชีวิตภาคเกษตรกรรมได้เป็นอย่างดี และเมื่อมีการเปรียบเทียบรายได้จะดีกว่าทุกภาคของประเทศไทย
๑. อาชีพ จากลักษณะพื้นที่เสริมให้ประชากรซีกฝั่งตะวันตก มีอาชีพการประมง ล่าสัตว์ มีการทำไร่ ต่อมาเมื่อมีการติดต่อค้าขายกับบรรดาพ่อค้าที่แล่นเรือในคาบสมุทรอินเดียทำให้มีการผสมผสานระหว่างพ่อค้ากับชาวพื้นเมืองกลายเป็นชุมชนใหญ่ มีการทำเหมืองแร่ และ ค้าขายกันมากขึ้น ซีกด้านตะวันออกนั้น มักจะมีการทำสวนยาง สวนผลไม้ ปลูกพืช เลี้ยงสัตว์ อาชีพที่เกี่ยวกับหัตถกรรม เช่น เครื่องจักสาน เสื่อลำเจียกที่กระบี่ เสื่อกระจูดที่พัทลุง ย่านลิเภาที่นครศรีธรรมราช ต่างเป็นงานฝีมือที่มีลักษณะโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ของภาคใต้
๒. คติความเชื่อ ชาวไทยภาคใต้มีศรัทธาในศาสนาอย่างแรงกล้า เชื่อว่าศาสนาเป็นศูนย์กลางของการสร้างสรรค์ ความเชื่อในกฎแห่งกรรม โดยมีจุดรวม ๓ จุด คือ อดีตชาติ ปัจจุบันชาติ และอนาคตชาติ วรรณกรรมชาวใต้มีเรื่องที่แตกแขนงไปจากไตรภูมิพระร่วง คือ ไตรโลกวิถาน กล่าวถึงความเป็นไปของมนุษย์ นรก และ สวรรค์ มีความเชื่อเกี่ยวกับเรื่องพระมาลัย เป็นวรรณกรรมที่สะท้อนให้เห็นกฎแห่งกรรม ความเชื่อเรื่องผี ชาวไทยภาคใต้มีบ้างโดยเชื่อว่าสิ่งทั้งหกลายในธรรมชาติจะมีผู้พิทักษ์รักษา เช่น ป่ามีเจ้า ต้นไม้มีเทพารักษ์ ห้วงสมุทรมีนางมณีเมขลา แผ่นดินมีแม่พระธรณี เป็นต้น
๓. ที่อยู่อาศัย ลักษณะบ้านไทยชาวใต้โดยทั่วไป อย่างน้อยครอบครัวหนึ่งจะต้องมีเรือนสองหลัง หลังที่หนึ่งเป็นเรือนนอนหรือเรือนพักผ่อน ปลูกให้ส่วนยาวไปทางทิศตะวันตก และทิศตะวันออก เรียกว่า “ลอยหวัน ” ถือเป็นทิศที่เป็นมงคล ส่วนหลังที่สองเรียกว่าเรือนครัว มีสองถึงสามห้อง ใช้เป็นห้องครัวหนึ่งห้อง อีกหนึ่งถึงสองห้องใช้เป็นห้องเก็บข้าวเลียง เรียกว่า “ลอมข้าว”
โดยทั่วไปไทยภาคใต้จะใช้ไม้เนื้อแข็งในการปลูกบ้านเรือนปลูกเป็นรูปทรงที่เรียกว่า “ทรงช้างเยี่ยว”โดยปลูกยกพื้นสูงประมาณ ๑.๕๐ – ๒.๐๐ เมตร นิยมที่จะปลูกใกล้กับทางเดิน ทำน้ำใกล้นาและบ่อ เมื่อเวลาฝนตกจะช่วยลดภาวะน้ำท่วมได้ดี
ใต้ถุนบ้าน ใช้ทำงานทั่วๆ ไป เช่นทอผ้าจักสาน หรือใช้ทำคอกวัว เลี้ยงเป็ด ไก่ หมู เป็นต้น ฝาบ้านทำด้วยไม้เนื้อแข็ง เป็นแบบที่ชาวบ้านเรียกว่า “ ร่องตีนช้าง ” ประตู ช่องลม หน้าต่าง ทั่วไปมีลักษณะคล้ายเรือนไทยภาคกลาง หน้าจั่ว ไทยภาคใต้เรียกว่า “ หุ้มกลอง ” นิยมปิดทึบ ชานเรือน เรียกว่านอกชาน นิยมโล่ง ไม่มีหลังคาคลุม
บ้านเรือนทางภาคใต้ โดยทั่วไปแล้วจะปลูกสร้างแข็งแรง ใช้ไม้เนื้อแข็ง ทั้งนี้เพราะภูมิประเทศมีฝนตกชุก ลมแรง มีพายุในทุกปีของฤดูฝน บ้านเรือนของไทยภาคใต้จึงไม่นิยมใช้ไม้ไผ่เท่าใดนัก


เครื่องจักสานย่านลิเภา ภูมิปัญญาท้องถิ่นภาคใต้

    เครื่องจักสานย่านลิเภา เป็นเครื่องจักสานประเภทหนึ่ง ที่สานด้วยย่านลิเภา ซึ่งเป็นพืชตระกูลเฟิร์น หรือ เถาวัลย์ชนิดหนึ่ง (ภาษาท้องถิ่นภาคใต้เรียกเถาวัลย์ว่า “ย่าน”) มีคุณสมบัติที่ดี คือ ลำต้นเหนียว ชาวบ้านจึงนำมา จักสานเป็นภาชนะเครื่องใช้ต่างๆ แหล่งผลิตที่สำคัญ ของเครื่องจักสานย่านลิเภาอยู่ที่บ้านหมน ตำบลท่าเรือ อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช และกลายเป็นสินค้าที่มีชื่อเสียงในปัจจุบัน ทั้งในประเทศและต่างประเทศ สามารถสร้างอาชีพ สร้างรายได้ ให้แก่ประชาชนในท้องถิ่น รวมถึงทำให้เศรษฐกิจของภูมิภาคดีขึ้น เนื่องจากเป็นสินค้าที่เป็นหัตถกรรมชั้นสูง และมีราคาค่อนข้างแพง


     ประวัติความเป็นมาและที่อยู่ของย่านลิเภา
เครื่องจักสานย่านลิเภา จัดว่าเป็นงานฝีมือชั้นเยี่ยมของชาวภาคใต้ โดยเฉพาะที่จังหวัดนครศรีธรรมราช ถือเป็นแหล่งที่มีชื่อเสียง ในงานหัตถกรรมชนิดนี้มากที่สุด มีกำเนิดจากการจักสานย่านลิเภา เป็นข้าวของเครื่องใช้พื้นบ้าน ที่มีเอกลักษณ์สืบทอดจากบรรพบุรุษหลายร้อยปี จนกระทั่งเป็นที่รู้จักของคนเมืองเหลวง เมื่อเจ้านายจากหัวเมืองใต้ นำขึ้นมาถวายในราชสำนัก และเผยแพร่ในหมู่เจ้านาย มาตั้งแต่สมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ จนในปี พ.ศ.2513 สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ ทรงมีพระราชดำริ ให้สอนการสานย่านลิเภาในโครงการศิลปาชีพ มีการพัฒนารูปแบบได้อย่างสวยงามประณีต เป็นที่นิยมอย่างกว้างขวางทั้งระดับท้องถิ่น ภูมิภาค และทั่วประเทศ ด้วยคุณสมบัติเฉพาะตัวของย่านลิเภา ที่มองๆ ดูก็คล้ายๆ กับเถาวัลย์นั้น จะมีความเหนียว ทนทานอายุใช้งานมากเป็นร้อยๆ ปี คงทนมากกว่าผักตบชวา หรือหวาย แต่กว่าที่เราจะได้ลิเภาจากป่ามา 1เส้นนั้น จะต้องอาศัยทั้งความชำนาญ และประสบการณ์ในการมองหา แยกให้ออกว่าต้นไหน คือ หญ้า หรือต้นไหน คือ ลิเภากันแน่
สถานที่ที่พบย่านลิเภาได้ง่ายมีมากทางภาคใต้ คือจังหวัดนครศรีฯ สตูล สงขลา ยะลา ปัตตานี นราธิวาส เป็นต้น
ย่านลิเภาเป็นพืชล้มลุกในตระกูลเฟิร์น แบ่งได้เป็น 3 ชนิด
1) ย่านลิเภาเขา คล้ายกับต้นหวาย ลำต้นใหญ่ มักใช้มัดสิ่งของ
2) ย่านลิเภาหยอง ใบหยิก ลำต้นเล็ก ไม่นิยมนำมาแปรรูป
3) ย่านลิเภาที่ขึ้นอยู่ตามป่าละเมาะหรือชายป่า ลำต้นเรียวงาม เปลือกเหนียวมี 2 แบบ คือ ลำต้นสีดำและลำต้นสีน้ำตาล โดยทั่วไปลำต้นสีน้ำตาลจะมีความยาวและลำต้นที่โตกว่า และจะมีคุณสมบัติที่เหนียวกว่า
วัสดุ อุปกรณ์ที่ใช้ในการทำเครื่องจักรสานย่านลิเภา
วัสดุ
ลิเภา มี 2 ชนิด คือ สีน้ำตาลและสีดำ โดยสีน้ำตาลมี 2 โทน คือน้ำตาลอมแดง และน้ำตาลอมเหลือง
ลาน มีสีขาวใช้ประกอบในการทำลวดลาย
หวาย ใช้ประกอบเป็นหูหิ้วหรือขอบโครง
ไม้ไผ่ ใช้ทำซี่กระเป๋า ซึ่งจะใช้เป็นเส้นยึดให้เกิดลวดลาย
ไม้เนื้ออ่อน ใช้ขึ้นรูปทรงกระเป๋าหรือผลิตภัณฑ์
อุปกรณ์
มีด ใช้ในการขูดเส้นลิเภาเพื่อให้ได้ตามความต้องการ
เหล็กแหลมหรือเข็ม ใช้เจาะรูที่โครงกระเป๋าเพื่อเสียบไม้ไผ่ และช่วยในการจัดลาย
แผ่นโลหะเจาะรู้ ใช้ในการขูดเกลาให้ย่านลิเภาและไม้ไผ่ที่ใช้ในการทำผลิตภัณฑ์ มีขนาดเท่ากัน
ปลอกนิ้ว ทำด้วยผ้าหนาๆ ใช้สวมนิ้วเวลาขูดย่านลิเภา
กาวลาเท็กซ์ ใช้ทาส้นลิเภาให้ยึดติดกับโครงแบบที่จะทำ หรือใช้ยึดส่วนประกอบของกระเป๋า
ขั้นตอนและวิธีการทำหัตถกรรมย่านลิเภา
ขั้นทำโครง
1. โครงแบบเสียบซี่ ใช้กับไม้ไผ่ที่นำมาเสียบให้ขนานกัน
ขั้นเตรียมย่านลิเภา
1. การปอก เพื่อเอาเปลือกมาทำย่านลิเภา
2. การชักเลียด เพื่อให้ได้ขนาดย่านลิเภาที่เท่ากัน
3. การขูด เพื่อให้ย่านลิเภามีความมันและเหนียว
4. การสาน นำไปขัดกับโครงเพื่อขึ้นลาย
ผลิตภัณฑ์ ที่เกิดจากย่านลิเภา
มี 2 แบบ
1. แบบทึบ ใช้เพียงย่านลิเภาและหวาย
2. แบบโปร่ง ใช้วิธีการเดียวกับการทอผ้า
16151615
ภูมิปัญญาไทย จากใบกะพ้อ

ต้นกะพ้อ หรือที่คนใต้เรียกว่าต้นพ้อ นี้ เป็นพืชพื้นเมืองที่มีอยู่ทั่วไปทางภาคใต้ ขึ้นอยู่ในป่าพรุ หรือตามหัวไร่ปลายนา หรือตามระว่างแถวในสวนยางพารา เป็นพืชที่อยู่ในตระกูลเดียวกับปาล์ม ลำต้นแตกหน่อออกเป็นกอ สูงประมาณ ๑-๓ เมตร ใบมีลักษณะคล้ายรูปพัด เป็นพืชที่ให้ประโยชน์ทั้งต้น ใบอ่อนใช้ห่อขนมต้ม ที่อ่อนมากๆ ทำแกงเลียง แกงส้ม หรือทำผัดน้ำพริกได้ ใบแก่เอามาทำเครื่องจักสาน เสื่อ พัด ลูกกะพ้อเป็นยาระบาย ลำต้นเอามาทำเสารั้วและนำมาปลูกไว้ข้างบ้านเพื่อความร่มรื่นสวยงาม

ส่วนใบพ้อ นำมาใช้ “แทงต้ม“ ขนมที่ชาวปักษ์ใต้รู้จักกันดี หรือที่เรียกกันว่า “ขนมต้ม” หรือ “ต้ม” เป็นข้าวต้มลูกโยนชนิดหนึ่งที่ทำในเทศกาลบุญชักพระของชาวใต้ และยังเป็นขนมที่ใช้ในงานประเพณีหลายๆ งานในท้องถิ่นภาคใต้ ที่ใช้กันเป็นหลักคือในงานบุญออกพรรษา การตักบาตรเทโว งานชักพระ งานเดือนสิบ และงานบวช ซึ่งเป็นที่รู้กันทั่วไปแต่ในที่นี้ขอนำเสนอภูมิปัญญาของชาวบ้านที่นำใบกะพ้อมาจักสานเป็นพัด เรียกว่า “พัดใบกะพ้อ” หรือ “พัดใบพ้อ” ซึ่งเป็นงานหัตถกรรมจักสานประเภทหนึ่งที่เป็นผลผลิตจากภูมิปัญญาของชาวบ้าน นับเป็นเอกลักษณ์หนึ่งของภาคใต้ โดยเฉพาะในอำเภอร่อนพิบูลย์ และที่บ้านสวนเลา อำเภอจุฬาภรณ์ จังหวัดนครศรีธรรมราช พื้นที่ที่ผลิตกันจนมีชื่อเสียงในเรื่องพัดใบพ้อ ก็คือหมู่บ้านโคกยาง


ลวดลายในการสาน เพื่อขึ้นรูปทรงเครื่องจักสานนั้น เป็นวิธีการของแบบแผนที่มีระบบอย่างหนึ่ง เพื่อการสร้างโครงสร้างให้เกิดการเชื่อมต่อซ้ำๆ กันไปโดยใช้ลักษณะการขัดกันของเส้นตอก หรือวัสดุอื่นที่ใช้จักสานได้ เพื่อให้เกิดแรงยึดเหนี่ยวระหว่างกันจนกลายเป็นผืนแผ่น เพื่อเป็นผนังของโครงสร้างเครื่องจักสานตามต้องการ ลายจักสานนั้นเป็นส่วนสำคัญที่สุดส่วนหนึ่งของการขึ้นโครงสร้างผลิตภัณฑ์ ประเภทเครื่องจักสาน จัดเป็นขบวนการความคิดสร้างสรรค์ของมนุษย์ที่เป็นระบบ ลายจักสานของไทยนั้น มีลวดลายและรูปแบบแตกต่างกันอย่างมาก ทั้งที่แตกต่างกัน ด้วยลักษณะของวัสดุที่ใช้ในการจักสานด้วย ดังนั้นการเลือกใช้ลายจักสานใด จึงขึ้นอยู่กับความเหมาะสม สนองประโยชน์ใช้สอยเป็นสำคัญ เช่น อาจใช้ลายขัดธรรมดา เพื่อให้เกิดความแข็งแรงทนทานและความสะดวกในการสาน หรือถ้าต้องการสานภาชนะที่มีตาต่างๆ เช่น ชะลอม เข่ง ก็มักจะสานด้วยลายเฉลา เป็นต้น  

   แรกเริ่มของพัดใบกะพ้อ เกิดจากเพื่อนพ้องน้องพี่ที่อาศัยอยู่ที่บ้านโคกยาง หมู่ที่ ๑๐ ตำบลร่อนพิบูลย์ อำเภอร่อนพิบูลย์ จังหวัดนครศรีธรรมราช ไปทำสวนยางพาราและสวนผลไม้ที่บ้านสวนเลา หมู่ที่ ๕ ตำบลทุ่งโพธิ์ อำเภอจุฬาภรณ์ จังหวัดนครศรีธรรมราช ในปัจจุบัน    บริเวณสวนยางหรือสวนผลไม้ มีต้นกะพ้อเป็นจำนวนมาก จึงได้ตัดใบกะพ้อมาตกแต่งให้มีขนาดพอเหมาะ พัดลมบรรเทาคลายความร้อนหลังจากเหน็ดเหนื่อยจากการทำงานในสวนยางพาราและสวนผลไม้

หลังจากนั้นก็เริ่มนำมาใช้ในบ้านเรือน โดยใช้พัดลมบรรเทาความร้อนในยามพักผ่อน และพัดลมในการติดไฟประกอบอาหาร ซึ่งใช้ได้ไม่นานก็เสื่อมสภาพ ต่อมามีการนำใบกะพ้อมาแยกเป็นกลีบแล้วสอดเป็นลายขัดทำเป็นพัดใบกะพ้อ ใช้ประโยชน์ได้มากกว่าเดิมแต่ฉีกขาดได้ง่าย เนื่องจากใบกะพ้อไม่เหนียวทน

วิวัฒนาการทำพัดใบกะพ้อจากการใช้ใบมาเป็นยอดกะพ้อที่ยังกลม โดยนำมาแยกกลีบใบแล้วลวกน้ำร้อนทำให้พัดใบกะพ้อมีความทนทาน ฉีดขาดได้ยาก มีสีขาวดูแล้วสวยงาม มีการตกแต่งด้ามพัดด้วยหวายที่มีความประณีต

การประกอบอาชีพทำสวนผลไม้ นำผลไม้มาขายตามตลาดนัดต่างๆ และนำพัดใบกะพ้อมาใช้พัดลมในระหว่างที่ขายผลไม้ ทำให้แม่ค้าในตลาดนัดเกิดความสนใจพัดใบกะพ้อมาใช้แทนกระดาษหนาที่ใช้พัดลม

การทำพัดใบกะพ้อเพื่อจำหน่ายจึงเริ่มขึ้นจากตลาดนัดเล็กๆ เป็นตลาดประจำอำเภอ ประจำจังหวัด และจังหวัดอื่นๆ ในภาคใต้ ตลอดจนตลาดในกรุงเทพมหานคร

http://student.nu.ac.th/phantakarn/phantakarn/images/A5.jpg

ในปัจจุบันพัดใบกะพ้อได้รับการส่งเสริมจากสำนักงานพัฒนาชุมชนอำเภอร่อนพิบูลย์ และอำเภอจุฬาภรณ์จังหวัดนครศรีธรรมราช โดยการจัดตั้งเป็นกลุ่มในหมู่บ้านดังนี้
๑. กลุ่มหัตถกรรมจักสานพัดใบกะพ้อบ้านโคกยาง หมู่ที่ ๑๐ ตำบลร่อนพิบูลย์ อำเภอร่อนพิบูลย์ จังหวัดนครศรีธรรมราช
๒. กลุ่มหัตถกรรมจักสานพัดใบกะพ้อบ้านสวนเลา หมู่ที่ ๕ ตำบลทุ่งโพธิ์ อำเภอจุฬาภรณ์ จังหวัดนครศรีธรรมราช

การทำพัดใบกะพ้อ เริ่มจะมีอุปสรรคเนื่องจากวัตถุดิบที่นำใช้ผลิตเป็นวัสดุเกิดขึ้นตามธรรมชาติ ราษฎรที่ไม่ได้ประกอบอาชีพจักสานพัดใบกะพ้อ จะทำลายต้นกะพ้อในพื้นที่ของตน เพื่อปลูกยางพาราและผลไม้ ทำให้ยอดกะพ้อมีไม่เพียงพอ ซึ่งจะมีแต่ป่าสงวนแห่งชาติเท่านั้นที่ยังมีต้นกะพ้ออยู่ตามธรรมชาติ ราษฎรที่อาศัยอยู่ใกล้ป่าสงวนแห่งชาติ จะตัดยอดกะพ้อมาจำหน่าย ทางสำนักงานพัฒนาชุมชนอำเภอร่อนพิบูลย์ อำเภอจุฬาภรณ์ เทศบาลตำบลร่อนพิบูลย์ และองค์การบริหารส่วนตำบลทุ่งโพธิ์ จึงได้สนับสนุนงบประมาณให้กลุ่มหัตถกรรมจักสานพัดใบกะพ้อ ปลูกต้นกะพ้อเป็นพืชแซมในสวนยางพารา เพื่อเป็นการอนุรักษ์หัตถกรรมจักสานพัดใบกะพ้อ ให้คงอยู่ในชุมชน









ขั้นตอนการสานพัดใบกะพ้อ

การเตรียมใบกะพ้อก่อนนำมาใช้สานพัด
ตากแดดไว้ ๑ วัน  ลวกน้ำร้อน ๑ นาที  ตากแดดไว้อีก ๓ วัน
๑. การก่อพัดนำน้ำอุ่นมาพรมใบกะพ้อที่จะใช้จักสานหรือชุบน้ำให้เปียกพอทั่ว ห่อด้วยผ้า ทิ้งไว้ประมาณ ๑๐-๒๐ นาที เพื่อให้ใบกะพ้อที่แห้งอ่อนตัว และเกิดความเหนียวไม่แตกขณะสาน นำยอดกะพ้อที่นิ่มดีแล้ว แยกตรงกลางนับตอกข้างซ้ายและข้างขวาให้เท่ากัน จำนวนตอกตามความเหมาะสม เช่น พัดขนาดกลางนับข้างละ ๑๘ ตอก พัดขนาดใหญ่ข้างละ ๒๒ ตอก ส่วนที่เหลือทั้งสองข้างก็ให้ดึงออกนำมาใช้เป็นตอกก่อสานพัด
๒. การขึ้นพัด นำใบกะพ้อที่เตรียมไว้วางบนพื้น หันก้านเข้าหาตัวผู้สาน ใช้เท้าด้านหนึ่งเหยียบก้านใบกะพ้อให้กระชับ แผ่ใบกะพ้อออกเป็นตอก ทำเป็นตอกยืน นำตอกกะพ้อมาสลับหัวสลับหางซ้อนกันเป็นคู่ จะเริ่มวางตอกก่อข้างใดข้างหนึ่งก็ได้ แล้วจัดสานขัดเป็นลายขัดให้ได้ ๓ คู่ จัดดึงตอกให้อยู่ในสภาพที่เรียบร้อย พร้อมที่จะจัดสานก่อลายขัดอีกข้างหนึ่ง เมื่อก่อตอกก่อ ๓ คู่ ทั้งสองข้างเสร็จแล้ว ให้นำตอกสองข้างมาขัดกันเองสานขัดเข้ากับตอกยืนแบบลายขัดไทย โดยการยกตอก ๑ ตอก แล้วข่มตอกอีก ๑ ตอก ไปเรื่อยๆ จนสุดตอก  ในกรณีที่ต้องการทำพัดย้อมสีตอกบางตอนให้นำตอกที่ย้อมสีแล้ว แทรกเข้าเป็นตอกยืนหรือตอกขัดตามแนวที่ต้องการ
๓. การเวียนพัด เมื่อขึ้นพัดเสร็จแล้ว ต้องจัดตอกให้แน่นพอดี ปลายตอกที่เหลือให้สานกลับลงมา ดึงขัดและต้องจัดรูปทรงให้สวยงาม ปลายตอกที่เหลือให้รวบมัดไว้ที่ก้านให้มีขนาดพอเหมาะเพื่อเตรียมไว้ทำเป็นด้ามพัด
๔. การนำพัดที่สานเสร็จแล้วไปตากแดด นำพัดที่สานเสร็จแล้วไปตากแดดจัดๆ อีกครั้งเพื่อป้องกันเชื้อรา
๕. การพันด้ามพัด ทำท่อนหวายสั้นๆ หรือไม้ไผ่ที่เตรียมไว้นำมาตัดให้โค้งประกบค่อมปลายก้านใบกะพ้อไว้ ให้ช่วงโค้งห่างจากปลายก้านใบราว ๑ นิ้ว นำเชือกหวายมาพันทับหวายที่ประกบก้านใบ พันให้แน่นและละเอียดที่สุด จากนั้นจึงสอดห่วงหูตรงปลายด้ามของพัดให้ประณีตและตกแต่งให้สวยงาม

    
อธิบายความตามลำดับภาพ
ภาพ ๑. ตากแดด ๑ วัน  ภาพ ๒. ลวกน้ำร้อน ๑ นาที  และ ภาพ ๓. นำไปตากแดดไว้อีก ๓ วัน

ในอดีตพัดใบกะพ้อ ใช้ประโยชน์ในการพัดลมคลายความร้อนเพียงอย่างเดียว แต่หลังจากสำนักงานพัฒนาชุมชนอำเภอ ได้จัดตั้งกลุ่มผู้ผลิตพัดใบกะพ้อ ก็ได้ส่งเสริมให้มีการทำผลิตภัณฑ์จากพัดใบกะพ้อ อย่างเช่น การทำพัดใบกะพ้อขนาดเล็ก กว้างประมาณ ๘-๑๐ เซนติเมตร ย้อมเป็นสีต่างๆ สวยงาม ใช้เป็นของที่ระลึกในเทศกาลต่างๆ เช่น งานมงคลสมรส งานศพ

การนำพัดใบกะพ้อ มาตกแต่งเป็นดอกไม้ประดับแจกัน ตั้งโต๊ะรับแขก หรือกระเช้าของขวัญ

การนำพัดใบกะพ้อมาตกแต่งในเทศกาลต่างๆ เช่น ตกแต่งกระทง ตกแต่งขบวนหฺมฺรับ

นอกจากนั้นวิทยาลัยนาฏศิลปนครศรีธรรมราช ได้นำพัดใบกะพ้อมาใช้เป็นอุปกรณ์ประกอบการแสดง และนำมาประยุกต์เป็นเครื่องประดับการแต่งกายของนักแสดง “ระบำพัดใบกะพ้อ” ซึ่งเป็นการประชาสัมพันธ์ ส่งเสริมและอนุรักษ์ สืบทอดอาชีพทำพัดใบกะพ้อให้เป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลาย



ที่มา : ภูมิปัญญาไทยจากใบกะพ้อ  วารสาร "สารนครศรีธรรมราช" จัดพิมพ์เผยแพร่โดย องค์การบริหารส่วนจังหวัดนครศรีธรรมราช
ขอขอบคุณ : สำนักปลัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครศรีธรรมราช ที่ให้ความอนุเคราะห์ข้อมูล
เครื่องจักสานของภาคเหนือ

    ก่องข้าว ของชาวล้านนา



“บ้านไผ่ปง ถือได้ว่าเป็นหมู่บ้านเก่าแก่ของชาวแจ๊ะชาวบ้านที่นี่ส่วนใหญ่จะประกอบอาชีพเกษตรกรรม แต่เมื่อว่างเว้นจากการทำเกษตรชาวบ้านก็ยังประกอบอาชีพการสานก่องข้าวจากไม้ไผ่ ซึ่งมีความพิเศษไม่เหมือนกับก่องข้าวจากที่อื่น…”
วัฒนธรรมในการบริโภคข้าวของคนไทยนั้นมีมาตั้งแต่สมัยโบร่ำโบราณ ในยุคสมัยไหนคงไม่อาจกล่าวย้อนได้ สิ่งหนึ่งที่คนโบราณได้กระทำควบคู่กับวัฒนธรรมการบริโภคข้าวก็คือ การหาภาชนะใส่ข้าวเพื่อเก็บข้าวสุกให้คงสภาพความร้อนได้นานก่อนถึงเวลากิน
ภาชนะใส่ข้าวประเภทหนึ่งที่คนไทยนิยมนำมาใส่ข้าวมีชื่อเรียกหลายชื่อตามแต่ภูมิภาค ในภาคอีสานจะเรียกภาชนะบรรจุข้าวเหนียวว่า “กระติ๊บข้าว” ในภาคกลางจะเรียก “กล่องใส่ข้าวเหนียว” ขณะที่ในภาคเหนือดินแดนบ้านเราจะเรียกภาชนะเดียวกันนี้ว่า “ก่องข้าว”
ว่ากันว่ากล่องใส่ข้าวเหนียว ,กระติ๊บข้าว หรือก่องข้าวนั้นเป็นภูมิปัญญาท้องถิ่นของชาวบ้านซึ่งจะแตกต่างกันไปในแต่ละที่ แต่โดยส่วนใหญ่แล้วกรรมวิธีการทำก็จะคล้ายกันจะแตกต่างกันบ้างในรายละเอียดบางส่วน อย่างเช่นกระติ๊บข้าวของอีสานนิยมสานจากไม้ไผ่เป็นสีจากธรรมชาติไม่มีลวดลาย ขณะที่ก่องข้าวของทางภาคเหนือจะนิยมทำจากใบลานสานและทำจากไม้ไผ่ แต่จะแตกต่างกันที่ลวดลายของภาคเหนือจะมีสีสันลวดลายสวยงาม
ที่หมู่บ้านไผ่ปง ตำบลเมืองมาย อำเภอแจ้ห่ม จังหวัดลำปาง เป็นหมู่บ้านที่มีชื่อในการทำก่องข้าวเป็นอย่างมาก กว่าร้อยปีมาแล้วที่ชาวบ้านที่นี่สืบสานภูมิปัญญาดั้งเดิมในการทำก่องข้าวเหนียวมาจากบรรพบุรุษ แต่เดิมพวกเขาจะสานเพื่อแลกกับข้าวสารจากหมู่บ้านอื่น ทว่าในปัจจุบันเริ่มมีการซื้อขายแลกเปลี่ยนกันด้วยเงิน
05032008(005)
จากตำนานที่เล่าถึงชุมชนในเมืองแจ้ห่ม มีความน่าสนใจทำให้เราได้ทราบถึงอดีตที่มาของกลุ่มชนนี้ว่า แต่เดิมเมืองแจ้ห่มเป็นถิ่นที่อยู่ของชาวลัวะ ซึ่งแบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือกลุ่มที่อาศัยอยู่บนดอยจะเรียกตนเองว่า “ลัวะ” ส่วนอีกกลุ่มจะอาศัยอยู่บริเวณที่ลุ่มเรียกตนเองว่า “แจ๊ะ” ทั้งกลุ่มชาวลัวะและชาวแจ๊ะต่างก็ตั้งชุมชนอยู่ในเขตเมืองแจ้ห่ม ขณะที่ชนพื้นเมืองทั้งสองกลุ่มอยุ่กันอย่างสงบสุขนั้น ก็ถูกพญาหลวงคำแดง ซึ่งเป็นทหารของพญางำเมืองแห่งเมืองภูกามยาวหรือพะเยา ยกทัพมาตีบ้านเมือง พวกลัวะและแจ๊ะที่กลัวตายจึงได้อพยพย้ายหนีไปอยู่รวมกันที่อื่น ซึ่งภาษาเหนือเรียกการรวมกลุ่มกันหลาย ๆ คนเป็นกลุ่มใหญ่ว่า “ข้อน” ต่อมาจึงเรียกชื่อหมู่บ้านนี้ว่า “แจ๊ะข้อน” ส่วนพวกแจ๊ะบางกลุ่มก็หนีไปซ่อน เลยเรียกเป็น “แจ๊ะซ่อน” และเพี้ยนมาเป็น “แจ้ซ้อน” ในปัจจุบัน
ต่อมาบริเวณเมืองที่อยู่เดิมของพวกแจ๊ะเกิดแผ่นดินถล่ม เจ้าเมืองและชาวบ้านก็หนีตายไปหมด ส่วนพวกแจ๊ะที่รักถิ่นฐานเดิมของตนเองรู้ข่าวเมืองถล่มผู้คนหลบหนีออกไปจากเมืองหมดแล้ว จึงอพยพกลับมาตั้งบ้านเรือนใกล้ ๆ กับเมืองเก่า แต่ด้วยความกลัวว่าแผ่นดินจะถล่มขึ้นมาอีก พวกแจ๊ะจึงเดินห่มตัว คือขย่มตัวทำให้ตัวเบาจนกลายเป็นนิสัยต่อมาชาวบ้านจึงเรียกพวกนี้ว่า “แจ๊ะห่ม” ก่อนจะเพี้ยนมาเป็น “แจ้ห่ม”
บ้านไผ่ปง ถือได้ว่าเป็นหมู่บ้านเก่าแก่ของชาวแจ๊ะชาวบ้านที่นี่ส่วนใหญ่จะประกอบอาชีพเกษตรกรรม แต่เมื่อว่างเว้นจากการทำเกษตรชาวบ้านก็ยังประกอบอาชีพการสานก่องข้าวจากไม้ไผ่ ซึ่งมีความพิเศษไม่เหมือนกับก่องข้าวจากที่อื่นก็คือ หลังจากที่นำไม้ไผ่ซางที่จักตอกแช่น้ำเรียบร้อยแล้วก็จะเริ่มต้นจากการสานเส้นใหญ่ขึ้นมาก่อน โดยจะสานจากซ้ายไปขวาขึ้นเป็นฐานรูปทรงก่อนที่จะค่อย ๆ ฉีกเส้นไผ่ออกเป็นเส้นที่เล็กลงเรื่อย ๆ จนปรากฏเป็นลวดลายต่าง ๆ อาทิ ลายจันเกี้ยว ซึ่งเป็นลวดลายดั้งเดิมที่ทำกันมานานแล้ว และลายจันแปดกลีบที่เป็นจุดเริ่มต้นในการพัฒนาลวดลายจากเดิม นอกจากนั้นยังมีลายดอกแก้ว ลายประแจจีน ลายกัมเบ้อและลายกัมบี้ ลายสองตั้ง ลายสามตั้งที่เป็นพื้นฐานในการสาน
การสานก่องข้าวของบ้านไผ่ปงจะนิยมใช้ไผ่ในการสานที่ค่อนข้างหนากว่าการสานอย่างอื่น ซึ่งมีส่วนประกอบด้วยกันสามส่วนคือ ฝาก่อง ตัวก่องข้าวและฐานก่องข้าวที่ทำจากไม้สองแผ่นไขว้กันเป็นรูปกากบาท ผูกติดไว้กับมุมส่วนก้นของก่องข้าวด้วยหวาย ส่วนตัวก่องข้าวตรงกลางจะมีมุมสี่เหลี่ยมขึ้นมาตรงช่วงกลางจะเป็นกระเปาะ ช่วงปากก่องจะกิ่ว ฝาปิดก่องข้าวทำเป็นมุมสี่เหลี่ยมในแต่ละมุมเพื่อให้รับกับส่วนก้นและมีไม้ไผ่ขัดตรงฝาเป็นรูปกากบาท
05032008(004)ลวดลายของก่องข้าวบ้านไผ่ปงนั้นจะนิยมย้อมสีดำซึ่งได้จากเปลือกของต้นหยีและต้นคราม แต่ปัจจุบันพื้ชทั้งสองชนิดนี้หายากขึ้น ชาวบ้านจึงใช้สีดำเคมีมาย้อมเพาะส่วนที่เป็นลวดลาย แต่บางบ้านก็นิยมทำเป็นสีธรรมชาติของไผ่ล้วน ๆ การสานก่องข้าวแบบนี้ มีกรรมวิธีในการสานอย่างสองชั้นด้วยไผ่เส้นเดียวกันคือ ทั้งชั้นที่หนึ่งและชั้นที่สองจะสานรวมกันเป็นภาชนะเดียวไปเลย ก็เพราะว่าเดิมทุกบ้านจะหุงข้าวในตอนเช้าแล้วกินไปจนถึงเที่ยงวัน ดังนั้นเพื่อให้ข้าวสุกมีความอุ่นอยู่ได้นาน ชาวบ้านจึงมีการสานก่องข้าวให้เป็นสองชั้น เพื่ออากาศภายในจะได้ไม่ถ่ายเทมากนัก เป็นฉนวนไม่ให้อากาศที่ร้อนผ่านออกมาหมด ทำให้ข้าวที่อยู่ในก่องข้าวนั้นอุ่นอยู่ได้นาน นอกจากนั้นยังมีความทนทานและการใช้งานอยู่ได้นานอีกด้วย การสานก่องข้าวของชาวบ้านไผ่ปงนี้จะใช้วิธีการตอกแบบตอกปื้น คือการตอกตามแนวไม้ไผ่แบบขนานไปกับหลังผิวไผ่ซึ่งนิยมใช้ผิวไม้ไผ่ในการสาน
ปัจจุบันการทำก่องข้าวของชาวบ้านไผ่ปงยังคงทำกันอยู่และไปมีการพัฒนาการสานจากก่องข้าวมาเป็นผลิตภัณฑ์ชนิดอื่น เช่น เสื่อ กระเป๋า ของเล่นเด็ก เป็นต้น ซึ่งชาวบ้านบอกว่ามีการพัฒนาไปตามยุคสมัยแต่ยังคงการใช้ไม้ไผ่เป็นวัสดุหลัก
ก่องข้าวบ้านไผ่ปงได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในหมู่คนเมืองทั่วไปที่รับประทานข้าวเหนียว โดยเฉพาะเอกลักษณ์อันสวยงามของลวดลายที่ไม่เหมือนใครยังคงทำให้ก่องข้าวที่นี่ได้รับความนิยมอย่างไม่เสื่อมคลาย
จักรพงษ์ คำบุญเรือง
jakrapong@chiangmainews.co.th

ชื่อเรื่อง  :  ชุด มรดกศิลปหัตถกรรมไทย  เครื่องจักสานไทย
ผู้แต่ง  :  วิบูลย์  ลี้สุวรรณ
ผู้จัดพิมพ์  :  องค์การค้าของคุรุสภา
ปีที่พิมพ์  :  2541
จำนวนหน้า  :  82 หน้า
เลขเรียกหนังสือ :  974-00-8069-3
สาระสังเขป  :

กำเนิดและวิวัฒนาการของเครื่องจักสาน
                มนุษย์อาจจะสามารถทำเครื่องจักสานได้ก่อนสมัยประวัติศาสตร์และทำต่อมาในสมัยประวัติศาสตร์ ดังปรากฏรอยภาชนะจักสานบนผิวภาชนะเครื่องปั้นดินเผาสมัยก่อนประวัติศาสตร์ชิ้นหนึ่ง  จากแหล่งโบราณคดีสมัยก่อนประวัติศาสตร์บ้านเชียง อำเภอหนองหาน จังหวัดอุดรธานี และภาชนะดินเผาทรงกระบอกเล็กๆ อีกชิ้นหนึ่งจาก แหล่งโบราณคดีในจังหวัดลพบุรี  ภาชนะดินเผาทั้งสองชิ้นดังกล่าวมีรอยของภาชนะจักสานขัดปรากฏบนผิวด้านนอก  จึงสันนิษฐานว่าทำขึ้นโดนใช้ดินเหนียวยาไล้ลงไปในภาชนะจักสาน   อาจสันนิษฐานได้ว่า  มนุษย์สมัยก่อนประวัติศาสตร์ในประเทศไทยรู้จักทำเครื่องจักสานมาก่อนการทำเครื่องปั้นดินเผา  และการทำเครื่องปั้นยุคแรก อาจจะทำโดยการใช้ดินเหนียวยาไล้ลงในแม่แบบ  ทิ้งไว้ให้ดินเหนียวแห้งแล้วจึงนำไปเผา ซึ่งเป็นกรรมวิธีการทำเครื่องปั้นดินเผายุคเริ่มแรก  ก่อนที่จะทำเครื่องปั้นดินเผาด้วยการตีด้วยไม้และหินดุ  และการปั้นโดยใช้แป้นหมุนในยุคต่อมา
การแปรรูปวัตถุดิบที่ใช้ทำเครื่องจักสานเป็นพัฒนาการสำคัญในการทำเครื่องจักสาน  เพราะการใช้วัสดุที่เป็นเส้นเล็ก เช่น ตอก หวาย ย่านลิเภา ทำให้มนุษย์สามารถประดิษฐ์เครื่องจกสานให้มีรูปทรงตามต้องการ และมีความประณีตงดงามยิ่งขึ้น
การทำเครื่องจักสานบางชนิดในบางท้องถิ่น  ช่างจักสานจะสานภาชนะหรือใช้ไม้ทำเป็นแบบให้มีรูปทรงตามความต้องการก่อน  แล้วจึงสานทับแม่แบบอีกทีหนึ่งเพื่อให้ได้เครื่องจักสานที่มีรูปร่างและขนาดเหมือนๆกันเป็นจำนวนมาก
การทำเครื่องจักสานเป็นหัตถกรรมสำคัญยิ่งประเภทหนึ่งในสังคมเกษตรกรรม  เพราะเป็นเครื่องมือเครื่องใช้ที่ผู้ใช้สามารถสานขึ้นเองจากวัตถุดิบที่มีอยู่ในแต่ละท้องถิ่น  การสร้างรูปททรงและกรรมวิธีในการทำเครื่องจักสานยุคแรกๆ  จะไม่แตกต่างกันนัก  ตั้งแต่การนำใบไม้  เถาวัลย์  มาสานเป็นภาชนะ  สานเป็นเสื่อหรือเรื่องรองนั่ง  ปูนอน นำใบมะพร้าว ใบลาน ใบตาล และเถาวัลย์มาสานเป็นภาชนะอย่างหยาบๆ สำหรับใส่สิ่งของซึ่งทำกันทั่วไป
วัตถุดิบและกรรมวิธี
                กรรมวิธีในการทำเครื่องจักสานเริ่มมาจากการใช้วัตถุดิบจากธรรมชาติที่มีลักษณะเป็นเถาเป็นเส้น เช่น เถาวัลย์  หวาย  กระจูด  กก  มาสานสอดขัดกันอย่างง่ายๆ  โดยแทบไม่ต้องแปรรูปวัตถุเลย   ต่อมาเมื่อมนุษย์ต้องการผลิตเครื่องจักสานให้มีรูปทรงและมีลวดลายละเอียดประณีตมากขึ้น  จึงแปรรูปวัตถุดิบด้วยการ “จัก” เพื่อให้ได้วัตถุดิบที่เป็นเส้นเล็กสานได้ละเอียดยิ่งขึ้น  ทำให้มนุษย์สามารถจักสานให้มีรูปทรงและลวดลายละเอียดประณีตตามต้องการ
เครื่องจักสานเป็นเครื่องมือเครื่องใช้ที่มนุษย์ทำขึ้นใช้ทั่วโลกก่อนที่จะมีเครื่องมือเครื่องใช้ที่ผลิตด้วยเครื่องจักและเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามาแทนที่  มีกรรมวิธีในการสานและรูปแบบคล้ายคลึงกันเป็นส่วนใหญ่  แต่ใช้วัตถุดิบแตกต่างกันไปตามสภาพภูมิศาสตร์ของท้องถิ่น  เครื่องจักสานทั่วๆ ไปจะมีรูปแบบตามความนิยม ขนบประเพณี  ชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนแต่ละท้องถิ่น
ไม้ไผ่เป็นวัตถุดิบจากธรรมชาติที่มีคุณสมบัติเหมาะสมที่จะนำมาแปรรูปเป็นวัสดุสำหรับทำเครื่องจักสานมากที่สุด  เครื่องจักสานไม้ไผ่จึงเป็นเครื่องจักสานที่นิยมใช้และผลิตกันแพร่หลายในภูมิภาคเอเชีย  และมีกระจายอยู่ในทุกภาคของประเทศ  ไผ่ที่นำมาทำเครื่องจักสานได้ดีมีหลายพันธุ์ ได้แก่  ไผ่  ไผ่สีสุก  ไผ่รวก  ไผ่เฮี้ยะ  ไผ่ข้าวหลาม    นอกจากไผ่หลายชนิดซึ่งเป็นไม้ที่มีคุณสมบัติเหมาะสมในการนำมาทำเครื่องจักสานได้ดีแล้ว ยังมีวัตถุดิบจากธรรมชาติอีกหลายชนิดที่นำมาใช้ทำเครื่องจักสานได้ดี เช่น หวาย ซึ่งเป็นพรรณไม้อีกชนิดหนึ่งทีใช้ทำเครื่องจักสานได้ดี  อาจจะสานด้วยหวายทั้งหมดหรือใช้หวายผสมกับวัสดุชนิดอื่น
ย่านลิเภา  มีมากในบริเวณภาคใต้  การนำมาทำเครื่องจักสานจะลอกเอาเฉพาะเปลือกมาจักเป็นเส้นแล้วสานหุ้มโครงที่ทำด้วยหวายหรือไม้ไผ่
กระจูด  ลำต้นกลม  ข้างในกลวง และมีเยื่ออ่อนยุ่นคั่นเป็นข้อๆ ใช้สานเสื่อและกระสอบ  การนำกระจูดมาทำเครื่องจักสาน  จะต้องทุบให้แบนแล้วทิ้งไว้ให้แห้งก่อนที่จะสานเป็นเครื่องจักสาน
นอกจากการใช้ต้นหรือเถาของพืชพันธุ์ไม้บางชนิดมาทำเครื่องจักสานแล้ว  คนไทยยังนำใบไม้บางชนิดมาทำเครื่องจักสานด้วย เช่น ใบตาล  ใบมะพร้าว  ใบลาน  ใบลำเจียก หรือปาหนัน  เตย  การนำวัตถุดิบธรรมชาติเหล่านี้มาทำเป็นเครื่องจักสานนั้น  มนุษย์ค่อยๆ เรียนรู้คุณสมบัติของวัตถุดิบแต่ละชนิด  แล้วเลือกสรรนำมาแปรรูปวัตถุดิบให้มีลักษณะเหมาะสมในการนำมาสานเป็นเครื่องจักสาน
เครื่องมือที่ใช้ทำเครื่องจักสาน
                มีด  มี 2 ชนิด คือ มีดสำหรับผ่าและตัด มักเป็นมีดขนาดใหญ่  สันหนา และมีดตอก  ใช้สำหรับจักตอกหรือเหลาหวาย  เป็นมีดปลายเรียวแหลม ปลายและด้ามงอน ส่วนมากตัวมีดจะสั้นกว่าด้าม
เหล็กหมาด  เหล็กปลายแหลม  ใช้สำหรับ เจาะ ไช งัด แงะ  มี 2 ชนิด คือ เหล็กหมาดปลายแหลม ใช้ไชหรือแงะเครื่องจักสานเพื่อร้อยหวายผูกโครงสร้าง ผูกขอบ หรือเจาะหูกระบุง ตะกร้า  ส่วนเหล็กหมาดปลายหอก ใช้เจาะรูเครื่องจักสานเมื่อต้องการผูกหวายเสริมโครงสร้างให้แข็งแรง
คีมไม้  เครื่องมือจำเป็นในการทำเครื่องจักสาน  รูปร่างคล้ายคีมทั่วไป แต่มีขนาดใหญ่และทำด้วยไม้เนื้อแข็ง  ช่วยให้ช่างจักสานเข้าขอบภาชนะจักสานได้สะดวกโดยไม่ต้องใช้ผู้ช่วย 
การสานและลายสาน
                ลายขัด  เป็นวิธีการสานแบบพื้นฐานที่เก่าแก่ที่สุด  ลักษณะของลายขัดเป็นการสร้างแรงยึดระหว่างตอกด้วยการขัดกันเป็นมุมฉากระหว่างแนวตั้งกับแนวนอน
ลายทแยง เป็นวิธีการสานที่ใช้ตอกสอดขัดกันในแนวทแยง  ไม่มีเส้นตั้งและเส้นนอนเหมือนลายขัด  แต่จะสานขัดกันตามแนวทแยงเป็นหกเหลี่ยมต่อเชื่อมกันไปเรื่อยๆ คล้ายรวมผึ้ง  ลายชนิดนี้จึงมักสานโปร่ง
ลายขดหรือถัก  เป็นการสานที่ใช้กับวัสดุที่ไม่สามารถคงรูปอยู่ได้ด้วยตัวเอง
ลายอิสระ  เป็นการสานที่ไม่มีแบบแผนตายตัว  ขึ้นอยู่กับความต้องการของผู้สานที่จะคิดประดิษฐ์ขึ้นเองให้สอดคล้องกับความต้องการของตน  ลายประเภทนี้มักสานตามความต้องการของผู้สานและแบบแผนที่สืบทอดกันมาในแต่ละท้องถิ่น 
เครื่องจักสานภาคเหนือ
                จากสภาพการประกอบอาชีพด้านเกษตรกรรมทำให้ภาคเหนือเป็นแหล่งผลิตเครื่องมือเครื่องจักสานที่สำคัญ  นอกจากนี้  ภาคเหนือยังมีวัตถุดิบหลายชนิดที่นำมาทำเครื่องจักสานได้ เช่น กก แหย่ง ใบลาน และไม้ไผ่  เฉพาะอย่างยิ่งไม้ไผ่ มีหลายชนิดที่ใช้ทำเครื่องจักสานได้ดี
ศิลปวัฒนธรรม  ขนบธรรมเนียมประเพณี และศาสนาของภาคเหนือก็เป็นองค์ประกอบสำคัญที่ทำให้เครื่องจักสานภาคเหนือมีเอกลักษณ์เป็นของตนเอง  การทำเครื่องจักสานพื้นบ้านภาคเหนือ  หรือล้านนาไทยนั้น  ทำสืบต่อกันมาแต่โบราณ  ดังมีหลักฐานปรากฏในภาพจิตกรรมฝาผนังหลายแห่งในวัดของภาคเหนือ
นอกจากนี้ วัฒนธรรมการบริโภคข้าวเหนียวของชาวเหนือก็เป็นองค์ประกอบสำคัญอีกประการหนึ่งที่ทำให้เกิดเครื่องจักสานที่เกี่ยวเนื่องกับการบริโภคข้างเหนียวหลายอย่าง เช่น ลังถึง ก๋วย ซ้าหวด ก่องข้าว แอบข้าว เปี๊ยด
ก่องข้าว  ภาชนะสำหรับใส่ข้าวเหนียวนึ่ง สานด้วยไม้ไผ่ มีขนาดและรูปทรงต่างๆ กัน   แอบข้าว หรือแอ๊บข้าว ภาชนะใส่ข้าวเหนียวเช่นเดียวกับก่องข้าว  แต่มีขนาดเล็กกว่าสำหรับพกพาติดตัวเวลาไปทำงานนอกบ้าน   นอกจากนี้ในภาคเหนือยังมีเครื่องจักสานที่มีเอกลักษณ์เฉพาะถิ่นที่ใช้กันแพร่หลายอีกหลายอย่างเช่น บุง หรือ เปี้ยด  ภาชนะสานสำหรับใส่ของเช่นเดียวกับกระบุงของภาคกลาง  แต่บุงภาคเหนือมีรูปร่างต่างกันไป  บุงภาคเหนือนอกจากจะใช้ใส่เมล็ดข้าวเปลือก เมล็ดพันธุ์พืชต่างๆ แล้ว ยังใช้เป็นภาชนะสำหรับตวงหรือวัดปริมาณของเมล็ดพืชผลด้วย
เครื่องจักสานของภาคเหนือที่มีเอกลักษณ์เฉพาะถิ่นโดดเด่นอีกอย่างหนึ่งคือ น้ำทุ่ง หรือน้ำถุ้ง เป็นภาชนะสานด้วยไม้ไผ่  ยาด้วยชันและน้ำมันยาง ใช้สำหรับตักน้ำจากบ่อน้ำ รูปร่างของน้ำทุ่งเหมาะสมกับประโยชน์ใช้สอยเป็นอย่างดี  คือมีลักษณะคล้ายกรวยป้อมๆ ส่วนก้นมนแหลม  ปากมีไม้ไขว้กันเป็นหูสำหรับผูกกับเชือกเพื่อสาวน้ำทุ่งขึ้นมาจากบ่อน้ำ
นอกจากตัวอย่างของเครื่องจักสานไม้ไผ่ภาคเหนือดังกล่าวแล้ว  ยังมีเครื่องจักสานที่ใช้ในชีวิตประจำวันอีกหลายชนิด  เช่น ซ้าหวด  กัวะข้าว  ก่องข้าว  แอบข้าว  โตก  ฝาชี  แอบหมาก  แอบเมี้ยง  ซ้าชนิดต่างๆ  หมวกหรือกุ๊บ ก๋วย  ก๋วยก้า  ก๋วยหมู  ก๋วยโจน  เข่งลำไย  ซ้าล้อม  ซ้าตาห่าง  ซ้าตาทึบ  หรือบุงตีบ  น้ำทุ่ง  น้ำเต้า  คุ วี ต่าง  เปี้ยด  หรือบุงชนิดต่างๆ  เปล  เอิบ  ไซชนิดต่างๆ สุ่ม เป็นต้น
จะเห็นได้ว่าเครื่องจักสานของภาคเหนือนั้นมีมากมายหลายชนิด  บางชนิดมีความผูกพันกับชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนอย่างยากที่จะแยกจากกันได้มาแต่โบราณ  แม้ทุกวันนี้ชาวบ้านก็ยังใช้สอยกันอยู่  ปัจจุบันในภาคเหนือหลายท้องถิ่นก็ยังคงทำเครื่องจักสานกันอยู่  จะเปลี่ยนไปบ้างก็เป็นเครื่องจักสานที่ทำเพื่อการค้า  ซึ่งจำเป็นต้องดัดแปลงรูปร่างของเครื่องจักสานให้เข้ากับความต้องการของผู้บริโภค  เครื่องจักสานพื้นบ้านที่ชาวบ้านใช้สอยในชีวิตประจำวันนั้น  ส่วนใหญ่ยังคงรูปแบบเดิมและมีเอกลักษณ์เฉพาะถิ่นโดดเด่น



เครื่องจักสานพื้นบ้านอีสาน

ประชากรในภาคอีสานนอกจากจะมีความหลากหลายของลักษณะทางชาติพันธุ์แล้ว ยังมีวัฒนธรรมการบริโภคข้าวเหนียวเป็นหลัก เช่นเดียวกันกับประชาชนส่วนใหญ่ในภาคเหนือ แม้ว่าคนอีสานจะบริโภคข้าวเหนียวเหมือนกับคนภาคเหนือก็ตาม แต่เครื่องจักสานที่เกี่ยวเนื่องด้วยการบริโภคข้าวเหนียวของภาคอีสาน มีลักษณะเฉพาะตนที่ต่างไปจากของภาคเหนือ ถึงแม้จะใช้ประโยชน์ในการใส่ข้าวเหนียวเช่นเดียวกัน เครื่องจักสานภาคอีสาน ที่เกี่ยวเนื่องด้วยวัฒนธรรมการบริโภคข้าวเหนียวที่สำคัญ คือ หวดและมวยนึ่งข้าวเหนียว พร้อมภาชนะบรรจุเช่น ก่องข้าว และกระติบข้าว
กระติบข้าว ก่องข้าวเหนียว
เครื่องจักสานพื้นบ้านที่น่าสนใจอีกอย่างหนึ่งคือ "ตะกร้า" หรือที่ภาษาถิ่นเรียก "กะต้า" หรือ "กะต่า" ซึ่งเป็นภาชนะจักสาน ที่ใช้กันแพร่หลายในภาคอีสาน สำหรับการบรรจุสิ่งของ เช่น ข้าวเปลือก ผัก ผลไม้ ฯลฯ และยังมีเครื่องจักสานที่น่าสนใจอีกหลายอย่าง ซึ่งส่วนมากจะเป็นเครื่องจักสานไม้ไผ่มากกว่าอย่างอื่น และเครื่องจักสานที่ใช้กันมากในชีวิตประจำวัน ก็เป็นพวกภาชนะต่างๆ เช่น ครุ กระบุง ตะกร้า กระจาด เปลเด็ก เครื่องจักสานที่จำเป็นต่อชีวิตอีกอย่างหนึ่งคือ เครื่องมือจับและดักสัตว์น้ำ เช่น ไซ ข้อง ตุ้มดักกบ ซ่อน ปุ่มขังปลา ฯลฯ นอกจากนี้มีเครื่องจักสานที่เกี่ยวเนื่องกับการเลี้ยงไหม และการทอผ้า เช่น กะเพียดปั่นฝ้าย กระด้ง เลี้ยงไหม จ่อเลี้ยงไหม เครื่องจักสานที่เกี่ยวเนื่องกับขนบประเพณีของชาวอีสาน ได้แก่ ขันเบ็งหมาก ขันกระหย่อง สำหรับใส่ดอกไม้ และเครื่องบูชาต่างๆ และก่องข้าวขวัญ สำหรับใส่ข้าวเหนียวนึ่ง เป็นต้น
กะต่า หวด จ่อเลี้ยงไหม
ปัจจุบันนี้ เครื่องมือเครื่องใช้ประเภทเครื่องจักสานบางอย่างของทางภาคอีสานนั้นใกล้สูญหายไปแล้ว แม้แต่ในชนบทก็ยังเหลือน้อย หรือแทบไม่หลงเหลืออยู่เลยนอกจากในพิพิธภัณท์ เป็นที่น่าใจหายไม่น้อย เมื่อวัฒนธรรมประเพณีดั้งเดิมค่อยๆ ถูกกลืนทีละน้อยๆ จากค่านิยมใหม่ๆ อันเนื่องมาจากความเจริญก้าวหน้าก้าวล้ำทางเทคโนโลยีต่างๆ มีวัสดุทดแทน เช่น พลาสติก เข้ามาแทนที่ไม้ไผ่ หวาย ซึ่งมีกรรมวิธีการผลิตที่ง่ายกว่า ทำได้คราวละมากๆ และมีราคาถูก จึงอดคิดเป็นห่วงไม่ได้ถ้าหากภูมิปัญญา และความภาคภูมิของบรรพบุรุษต้องมาเลือนหายไปอย่างไม่ย้อนคืนใน พ.ศ. นี้ หากไร้การสืบทอดต่อไป

เครื่องจักสาน ที่เป็นเครื่องใช้ในชีวิตประจำวัน

เครื่องจักสานที่เป็นเครื่องใช้ในชีวิตประจำวัน ในสังคมอีสานผู้ชายและผู้หญิงจะแบ่งงานกันทำ “ยามว่างจากงานในนา ผู้หญิงทอผ้า ผู้ชายจักสาน” ดังปรากฏในวรรณกรรมคำสอนเรื่องพระยาคำกอง (สอนไพร่) งานจักสานที่ทำจากไม้ไผ่ สามารถแยกเป็นกลุ่มตามประโยชน์ใช้สอยได้ 2 ประเภท คือ
  • เครื่องใช้ทั่วไปในบ้าน เช่น ครุ ซึ่งเป็นภาชนะบรรจุน้ำ ตักน้ำ ใส่ปลา ทำจากไม้ไผ่นำมาลงน้ำมันยางและชัน
  • ภาชนะใส่อาหาร เช่น ก่องข้าว กระติบข้าว สองสิ่งนี้ต่างกันในรูปทรงและวัสดุ แต่ใช้บรรจุข้าวเหนียวเหมือนกัน หวดและมวยนึ่งข้าวเหนียว โดยมากแล้ววัสดุสำหรับการจักสาน คือ ไม้ไผ่ ซึ่งเป็นวัสดุหาง่ายในท้องถิ่น มีคุณสมบัติยอดเยี่ยม สารพัดประโยชน์ เรียกได้ว่า เป็นพลาสติกของโลกก่อนยุคอุตสาหกรรม
ครุไม้ไผ่ตักน้ำ กระติบข้าวเหนียว
ลักษณะเด่นเชิงรูปธรรม เครื่องจักสานได้ถูกออกแบบมาเป็นอย่างแยบยล ตอบสนองการใช้สอยได้เป็นอย่างดี การสานที่ขัดกันทำให้เกิดช่อง ลวดลาย มีมิติ สีสันแบบธรรมชาติ และไม้ไผ่ยังมีกลิ่นเฉพาะตัว
ลักษณะเด่นเชิงนามธรรม เกี่ยวข้องกับความเชื่อเรื่องสิริมงคล เช่น ดักเงิน ดักโชค เก็บเงิน เป็นต้น
ไซ ข้องใส่ปลา

เครื่องจักสาน ที่เป็นเครื่องมือดักสัตว์

เครื่องจักสานที่เป็นเครื่องมือดัก/จับสัตว์ เป็นเครื่องมือที่ทำจากไม้ไผ่ ได้แก่ ข้อง ไซ ซูด ต้อน ตุ้มบอง ตุ้มปลายอน โด่ง ลอบ จั่น สุ่ม หลี่ ฯลฯ เครื่องมือดักจับสัตว์เหล่านี้ เกิดจากการเฝ้าสังเกตพฤติกรรมของสัตว์ที่หลากหลาย และยังสะท้อนให้เห็นภูมิปัญญาของชาวบ้านได้หลายอย่าง เช่น ความชาญฉลาดในการเลือกสรรวัตถุดิบที่ตนมีความรู้ในด้านคุณสมบัติเป็นอย่างดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งไม้ไผ่นำมาดัดแปลง แปรรูปทำเป็นเครื่องจักสาน นอกจากนี้ ยังมีคุณค่าทางศิลปะและความงาม ซึ่งมีรูปทรง โครงสร้างและลวดลายที่งดงามอย่างยิ่ง ยากที่จะหาเครื่องมือเครื่องใช้ประเภทอื่นเทียบได้
สุ่ม ตุ้ม เครื่องมือดับจับปลา
ลักษณะเด่นเชิงรูปธรรม รูปทรงและลวดลายเกิดจากการจักสาน เครื่องมือดักและจับสัตว์น้ำแต่ละชนิดมีรูปทรงแปลกตา มีเอกลักษณ์ และมีลวดลายที่งดงามลักษณะเด่นเชิงนามธรรม นำไปใช้ประกอบพิธีกรรม เช่น นำไซไปผูกเสาเอกในพิธียกเสาเอก สะท้อนความเชื่อเรื่องสิริมงคล ดักเงิน ดักโชค เก็บเงิน เป็นต้น
การจับปลาด้วยเครื่องมือพื้นบ้าน

ผ้าพื้นเมืองอีสาน
ผ้าขิต คือผ้าที่ทอแบบเก็บขิต หรือเก็บดอกเหมือนผ้าที่มีการปักดอกด้วยฝีมือปราณีต การทอผ้าขิตต้องใช้ความชำนาญ และมีเชิงชั้นด้านฝีมือสูงกว่าการทอผ้าอย่างอื่น เพราะทอยาก เดิมทีชาวอีสานถือว่าผ้าขิตเป็นของสูง จึงทอสำหรับทำเป็นหมอนขิต เพื่อถวายพระภิกษุสงฆ์และญาติผู้ใหญ่ที่เคารพนับถือเท่านั้น ต่อมาได้ดัดแปลงให้เป็นประโยชน์ใช้สอยอื่นๆ เช่น เสื้อผ้า เครื่องแต่งกายผ้าม่าน ผ้าคลุมโต๊ะ


ผ้ามัดหมี่ เป็นผ้าพื้นบ้านอีสานที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะถิ่นเท่านั้น การทอผ้ามัดหมี่กล่าวได้ว่าเป็นศิลปะการย้อมสีที่ลึกซึ้งมาก เพราะต้องมีความรู้ว่าสีไหนทำผืนผ้า สีไหนเป็นลวดลาย สีไหนย้อมก่อนย้อมหลัง








วันศุกร์ที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2561


วัฒนธรรมการจักสาน

ภูมิหลัง

          จากอดีตสู่ปัจจุบันโลกของเรามีการเปลี่ยนแปลงไปมาก ตามระยะเวลาและการพัฒนาของยุคต่าง ๆ
ทำให้ประเพณีและวัฒนธรรมเปลี่ยนแปลงตามไปด้วย ซึ่งการเปลี่ยนแปลงต่างๆทำให้เกิดการพัฒนาสิ่งต่างๆตามมา 
และจากการพัฒนาทำให้เกิดความสะดวกสบายมากขึ้น ทำให้สิ่งต่างๆ ที่เคยปฏิบัติหรือเป็นประเพณีและวัฒนธรรมเก่าๆเริ่มจางหายไป ตามกาลเวลา จึงเป็นสาเหตุทำให้คนรุ่นหลังไม่ได้รับรู้หรือปฏิบัติหรือได้เห็นถึงประเพณีและวัฒนธรรม
ของคนรุ่นเก่า ซึ่งอาจจะเป็นภูมิปัญญาท้องถิ่นของถิ่นนั้น ไม่ว่าจะเป็น การแต่งกาย การหัตถกรรม การจัดสาร 
การประกอบอาชีพ เป็นต้น ซึ่งภูมิปัญญาเหล่านี้ล้วนแต่เป็นเอกลักษณ์ของท้องถิ่น สมควรที่จะอนุรักษ์หรือสืบทอดไว้
เพื่อที่จะสามารถคงรักษาไว้ต่อไปได้  ซึ่งจากการพัฒนาของยุคที่เปลี่ยนแปลงไป ทำให้เราต้องพัฒนาตามไปด้วย 
ซึ่งถ้าเรานำเอาภูมิปัญญาท้องถิ่นเข้ามาพัฒนาและปรับเข้ากับยุคสมัย สามารถที่จะเผยแพร่หรือสื่อสารข้อมูลเกี่ยวกับภูมิปัญญาท้องถิ่นให้คนรุ่นหลังได้ศึกษาต่อได้  โดยจากยุคปัจจุบัน การสื่อสารมีความก้าวหน้า ผู้คนนิยมการใช้งานอินเตอร์เน็ต การเข้าเว็บไซต์ การใช้งานโซเชียลมีเดียต่างๆ ในการศึกษาหรือค้นหาข้อมูล รวมไปถึงการนันทนาการต่างๆ แต่ถ้าเราประยุกต์นำข้อมูลเกี่ยวกับภูมิปัญญาท้องถิ่น เพื่อเผยแพร่โดยการสร้าง Blogger เพื่อให้คนรุ่นหลังได้ศึกษา
และสามารถนำไปปฏิบัติใช้ได้ จะทำให้เราสามารถอนุรักษ์ภูมิปัญญาท้องถิ่นของเราได้อีกวิธีหนึ่งด้วย





          จากการใช้งานอินเตอร์เน็ตหรือโซเชียลมีเดียต่างๆในปัจจุบันมีการพัฒนาอย่างแพร่หลาย 
ซึ่งการสื่อสารต่างๆสามารถเผยแพร่ข่าวสารได้อย่างรวดเร็วซึ่งแตกต่างจากสมัยก่อน การสร้าง Blogger 
จึงเป็นสิ่งหนึ่งที่จะสามารถเผยแพร่ข้อมูลได้ เมื่อเราประยุกต์โดยการนำภูมิปัญญาของท้องถิ่น เพื่อเป็นการอนุรักษ์ไว้  
จากภูมิปัญญาท้องถิ่นซึ่งจะมีหลากหลายกันออกไป บางพื้นที่ก็มีหลายอย่าง  เช่นภูมิปัญญาท้องถิ่นการทำกระด้ง 
ของบ้านนาโดน ตำบลขามเฒ่า อำเภอเมืองนครพนม จังหวัดนครพนม การทำกระด้งเป็นภูมิปัญญาของท้องถิ่น 
ทำจากการสานไม้ไผ่เป็นภาชนะใช้สำหรับฝัดข้าวเพื่อแยกเอาเศษผงฝุ่น แกลบ ออกจากเมล็ดข้าว 
หรือเมล็ดพันธุ์ชนิดอื่นที่มีเปลือก ซึ่งเป็นการคัดแยกระหว่างข้าว หรือเมล็ด และเปลือกออกจากกัน 
โดยชาวนาจะนำข้าวที่ตำแล้ว วางใส่ไว้ในกระด้งและทำการฝัดโดยใช้มือทั้งสองข้างจับขอบปากกระด้ง แล้วทำการร่อน 
โดยให้กระด้งขึ้นลงเพื่อฟัดเศษหรือเปลือกข้าวก็จะปลิวตามแรงลม เนื่องจากน้ำหนักเบามาก จะได้เมล็ดที่มีน้ำหนักหล่น
ที่กระด้ง  ซึ่งภูมิปัญญาท้องถิ่นนี้จะถูกนำมาเผยแพร่ผ่าน Blogger ทำให้ทุกคนสามารถเรียนรู้ และทราบถึงภูมิปัญญาของท้องถิ่นของบ้านนาโดนได้





          การสร้าง Blogger เพื่อเผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับภูมิปัญญาท้องถิ่นการทำกระด้ง ของบ้านนาโดน ตำบลขามเฒ่า อำเภอเมืองนครพนม จังหวัดนครพนม จะช่วยให้คนรุ่นหลังและผู้ที่สนใจสามารถรับรู้ข้อมูลและความสำคัญ
ของภูมิปัญญาได้รวมถึงยังเป็นส่วนหนึ่งในการอนุรักษ์ภูมิปัญญาต่อไว้ได้เพราะสามารถเผยแพร่ข้อมูลผ่านทาง Blogger เป็นการปรับสิ่งเหล่านี้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีการสื่อสารของโลกที่เปลี่ยนแปลงไป 




ประวัติกระด้ง

         กระด้ง หรือ ด้ง ที่นิยมใช้กันอยู่ในภาคใต้มี ๒ อย่าง คือ กระด้งฝัดข้าว และกระด้งมอน กระด้งทั้งสองชนิดนี้
สานด้วยไม้ไผ่และหวายสำหรับใช้งานเกษตรกรรม โดยเฉพาะการทำไร่ทำนา กระด้งปักษ์ใต้ทั้งสองชนิดเป็นกระด้งที่มีลักษณะเฉพาะที่ต่างไปจากกระด้งภาคอื่นอย่างเห็นได้ชัด ทั้งด้านรูปแบบและลวดลาย กระด้งฝัดข้าวของภาคใต้มี ๒ ชนิดคือ "กระด้งลายขอ" และ กระด้งบองหยอง" กระด้งลายขอ เป็นกระด้งฝัดข้าวที่มีรูปแบบและลายสานที่ถือว่าเป็นเครื่องจักสานชั้นเยี่ยม ที่ออกแบบรูปร่างและลวดลายประณีตประสานกับการใช้สอยได้เป็นอย่างดี และมีคุณค่า
ทางความงามด้วย กระด้งลายขอนิยมสานด้วยตอกไม้ไผ่สีสุก เพราะเป็นไม้ไผ่ที่มีเนื้อแข็งและเหนียว


กระด้งลายขอมีลักษณะพิเศษอยู่ที่ตอกซึ่งจะปล่อยข้อปล้องไม้ไผ่ด้านที่เป็นผิวไว้โดยไม่ได้ตัดออกตอกด้านนี้จึงมีลักษณะเป็นขออยู่ตามปล้อง ซึ่งเป็นที่มาของการเรียกว่า "กระด้งลายขอ" ตอกที่จะเว้นข้อไว้เป็นขอนี้เส้นหนึ่งจะมีข้อเหลือไว้เพียงข้อเดียว เวลาสานผู้สานจะต้องสานวางจังหวะของตอกพิเศษที่มีข้อเหลือไว้แต่ละเส้นให้อยู่กึ่งกลางของกระด้งและเรียงสลับฟันปลาการเหลือข้อไว้บนตอกเพื่อให้เกิดเป็นลายขอบนกึ่งกลางกระด้งนี้ มิได้ทำขึ้นเพื่อความสวยงามแต่อย่างเดียวหากแต่ต้องการให้เกิดประโยชน์ในการฝัดข้าวได้ดีด้วย กระด้งลายขอนี้จะใช้ฝัดข้าวเปลือกที่ผ่านการซ้อมด้วยมือ หรือสีด้วยเครื่องสีข้าวพื้นบ้านมาแล้ว แต่ยังมีเปลือกข้าวที่เรียกว่า ขี้ลีบและกาก ปะปนอยู่ จะต้องนำมาฝัดด้วยกระด้งลายขอ ลายขอที่เกิดจากการเว้นข้อไว้บนผิวไม้ไผ่ตามธรรมชาตินี้จะช่วยให้กากข้าวขี้ลีบและสิ่งที่ไม่ต้องการสะดุดกับขอของตอกที่พื้นกระด้งลอยตัวขึ้นบนผิวกระด้ง และจะรวมกันอยู่ตามร่องระหว่างขอตรงกลางกระด้ง จึงฝัดหรือเก็บออกได้ง่ายนอกเหนือไปจากรูปแบบและโครงสร้างของกระด้งลายขอที่มีลักษณะเฉพาะที่สนองความต้องการในกาใช้สอยแต่โบราณ ตั้งแต่หลักการสานที่คิดเป็นสูตรด้วยคำที่คล้องจองไว้ว่า "ยกสองข่มห้า เรียกว่า ลายบ้าเอย"ที่เรียกว่า "ลายบ้า" คงเป็นเพราะว่าการสานกระด้งชนิดนี้สานยากนั่นเอง ผู้สานจะต้องเป็นช่างฝีมือดี เมื่อสานเสร็จแล้วแนวทางของเส้นตอกจะต้องเป็นแนวมีระเบียบและลายของปล้องข้อจะเรียงกันได้จังหวะงดงามอยู่ตามด้านหน้ากระด้งส่วนด้านหลังจะเป็นแนวร่องตอกซึ่งเรียกว่า "ดี"กระด้งลายขอนี้ส่วนมากจะมีขนาดไม่ใหญ่นักและนิยมเรียกแนวดีแทนขนาด เช่น กระด้งขนาด๗ ดี หรือ ๙ ดี เป็นต้น กระด้งที่นิยมใช้กันเป็นกระด้งที่มีลายขอถี่หรือละเอียดมากกว่ากระด้งที่มีลายขอห่างๆ กัน
กระด้งฝัดข้าวอีกอย่างหนึ่งที่ถือว่าเป็นกระด้งที่มีลักษณะเฉพาะของภาคใต้ คือ "กระด้งลายบองหยอง" กระด้งชนิดนี้สานง่ายกว่ากระด้งลายขอ การสานกระด้งลายบองหยองใช้ตอกไม้ไผ่เช่นเดียวกับกระด้งลายขอ แต่ใช้ตอกเส้นใหญ่กว่าและไม่มีข้อปล้อง เป็นตอกเรียบๆ ธรรมดาผิวหน้ากระด้งจึงเป็นลายเรียบๆ กระด้งชนิดนี้ใช้ฝัดข้าวและเมล็ดพืชพันธุ์ต่างๆเช่นเดียวกัน นอกจากกระด้งทั้งสองชนิดดังกล่าวแล้วยังมีกระด้งอีกชนิดหนึ่งเรียกว่า "กระด้งมอน" คำว่า "มอน" เป็นภาษาปักษ์ใต้ หมายถึงกระด้งกลมขนาดใหญ่มีเนื้อที่มากกว่ากระด้งทั่วๆ ไป ลักษณะของกระด้งชนิดต่างๆ ดังกล่าวแล้วจะเห็นว่ากระด้งของภาคใต้เป็นเครื่องจักสานที่มีลักษณะเฉพาะถิ่นโดดเด่นชนิดหนึ่ง
นอกจากนี้กระด้งของภาคใต้เกี่ยวเนื่องกับคติความเชื่อของชาวใต้ที่ยึดถือสืบต่อกันมาแต่โบราณด้วย เช่นห้ามนำกระด้งขึ้นไปบนยุ้งข้าว เพราะจะทำให้ขวัญข้าวหรือแม่โพสพหรือเทพธิดาแห่งข้าวไม่พอใจแล้วหนีไปไม่คุ้มครองเป็นมิ่งขวัญ ทำให้การทำนาไม่ได้ผลดีเท่าที่ควร ความเชื่อนี้แม้จะหาเหตุผลไม่ได้ว่าทำไมแม่โพสพจึงไม่กระด้งแต่ก็เป็นความเชื่อที่เชื่อถือสืบต่อกันมาแต่โบราณความเชื่อที่เกี่ยวกับกระด้งอีกอย่างหนึ่งคือ จะต้องเก็บรักษากระด้งไว้ให้ดี ถือว่ากระด้งเป็นของสำคัญต้องเก็บไว้ในที่สูง เช่น ตามชายคา หรือเหนือเตาไฟในครัวเพื่อให้ควันไฟช่วยรักษาเนื้อไม้ไม่ให้มอดหรือแมลงกัดกิน และช่วยให้เส้นตอกแน่น มีสีดำอมแดงดูสวยงามอยู่เสมอ
การที่ชาวบ้านเก็บรักษากระด้งไว้ในที่สูงไม่ให้เด็ก นำไปเล่นนั้น อาจจะมาจากความเชื่อที่ว่า แม่โพสพเป็นผู้มีพระคุณให้ข้าวเลี้ยงชีวิตมนุษย์ จึงควรเก็บรักษากระด้งฝัดข้าวไว้ให้ดี การเก็บรักษากระด้งนี้นอกจากจะใช้ควันไฟจากการหุงหาอาหารช่วยเคลือบผิวแล้ว บางครั้งจะทำด้วยน้ำมันยางทาขี้ชันผสมรำข้าว ซึ่งจะช่วยให้ใช้ได้นาน ถ้าพิจารณาจากความเชื่อนี้แล้ว จะเห็นว่าเป็นอุบายของคนโบราณที่จะรักษากระด้งไว้ให้คงทน ใช้งานได้นาน เพราะกระด้งสานยากจะต้องใช้ความละเอียดประณีตมาก

การสานกระด้งลายขอและกระด้งชนิดอื่นๆ ของภาคใต้ยังมีสานกันอยู่บริเวณพื้นที่ราบที่มีการทำไร่ ทำนา และยังมีช่างสานกระด้งลายขอฝีมือดีอยู่บ้างแต่ไม่มากนักเพราะการสานกระด้งลายขอต้องใช้ความพยายามและต้องมีความละเอียดประณีตใช้เวลามาก อย่างไรก็ตาม กระด้งลายขอ กระด้งลายบองหยอง และกระด้งมอน ของภาคใต้ เป็นเครื่องจักสานที่มีเอกลักษณ์เฉพาะถิ่นชัดเจนอย่างหนึ่งของภาคใต้ นอกเหนือไปจากสภาพทางภูมิศาสตร์สภาพการดำรงชีวิต ความเชื่อ ขนบประเพณีและศาสนา ที่เป็นองค์ประกอบสำคัญที่ทำให้เกิดการสร้างเครื่องจักสานแล้ว วัตถุดิบท้องถิ่นยังเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้เครื่องจักสานมีเอกลักษณ์เฉพาะถิ่นที่ต่างไปจากภาคอื่นๆ ด้วย นอกจากนี้เครื่องจักสานชนิดต่างๆ ของภาคใต้ จะเห็นได้ว่าบางชนิดเป็นเครื่องจักสานที่มีประโยชน์ ในการใช้สอย เช่นเดียวกับเครื่องจักสานภาคอื่น แต่มีรูปแบบ ลวดลาย และใช้วัตถุดิบที่แตกต่างไปจากเครื่องจักสานภาคอื่นๆ มีลักษณะเฉพาะถิ่นที่เป็นเอกลักษณ์ของตนเอง


1.1วัตถุดิบที่ใช้ในการสานกระด้ง
   1.1.1 ไม้ไผ่
   1.1.2 มีด
   1.1.3 เชือก
   1.1.4 เหล็ก
   1.1.5 คีม

ภาพที่ 1.1 วัตถุดิบที่ใช้ในการสานกระด้ง

ขั้นตอนการทำกระด้ง
2.1 เลาไม้ไผ่ให้แบนกว้าง ประมาณ 2 เซนติเมตร
ภาพที่ 2.1 เลาไม้ไผ่ให้แบนกว้าง ประมาณ 2 เซนติเมตร

2.2 จัดวางรูปแบบในลักษณะการสาน 2 แถว

ภาพที่ 2.2 จัดวางรูปแบบในลักษณะการสาน 2 แถว

2.3 เริ่มสานไปจนได้ขนาดตามต้องการ

ภาพที่ 2.5.3 เริ่มสานไปจนได้ขนาดตามต้องการ

2.4 เตรียมขอบกระด้ง ใช้ไม้ไผ่หนาๆมาดัดให้เป็นวงกลม

ภาพที่ 2.4 เตรียมขอบกระด้ง ใช้ไม้ไผ่หนาๆมาดัดให้เป็นวงกลม

2.5 นำไม้ไผ่ที่สานแล้วมาเข้ารูป


ภาพที่ 2.5 นำไม้ไผ่ที่สานแล้วมาเข้ารูป

















วัตถุประสงค์ ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ

                        การจักสาน วัตถุประสงค์     เพื่อเป็นแนวทางการอนุรักษ์ภูมิปัญญาท้องถิ่นงานหัตถกรรม จักสาน พื้นบ้าน เครื่องจ...