การจักสานภาคใต้
สภาพภูมิศาสตร์ ดินแดนภาคใต้ เริ่มจากจังหวัดชุมพร ระนอง สุราษฎร์ธานี พังงา ภูเก็ต กระบี่ นครศรีธรรมราช ตรัง พัทลุง สงขลา สตูล ปัตตานี ยะลา นราธิวาส รวม ๑๔ จังหวัด แผ่นดินภาคใต้มีลักษณะคล้ายแหลมยื่นลงสู่มหาสมุทร แคบและ ยาวเรื่อยไปจนถึงมาเลเซีย โดยมีเทือกเขาตะนาวศรีที่เชื่อมมาจากเทือเขาหิมาลัย ทอดยาวไปจนถึงจังหวัดกระบี่
ลักษณะโดยทั่วไปมีทั้งที่ราบ ป่าไม้ ทิวเขา มีหาดทรายชายทะเล ถ้ำ อุทยาน ทะเลสาบ เกาะทั้งเล็กและใหญ่ มีทิวทัศน์ธรรมชาติที่งดงามมาก ลุ่มน้ำสำคัญๆ ได้แก่ ตาปี หลังสวน ท่าทอง ปัตตานี ตะกั่วป่า ปากพนัง น้ำตรัง และลุ่มน้ำคีรีรัฐ นอกจากนี้บริเวณปากแม่น้ำยังมีอ่าวใหญ่ ๆเหมาะแก่การจอดเรืออีกด้วย เช่น อ่าวบ้านดอน อ่าวชุมพร และอ่าวสงขลา
ลักษณะโดยทั่วไปมีทั้งที่ราบ ป่าไม้ ทิวเขา มีหาดทรายชายทะเล ถ้ำ อุทยาน ทะเลสาบ เกาะทั้งเล็กและใหญ่ มีทิวทัศน์ธรรมชาติที่งดงามมาก ลุ่มน้ำสำคัญๆ ได้แก่ ตาปี หลังสวน ท่าทอง ปัตตานี ตะกั่วป่า ปากพนัง น้ำตรัง และลุ่มน้ำคีรีรัฐ นอกจากนี้บริเวณปากแม่น้ำยังมีอ่าวใหญ่ ๆเหมาะแก่การจอดเรืออีกด้วย เช่น อ่าวบ้านดอน อ่าวชุมพร และอ่าวสงขลา
แหล่งผลิตเกษตรกรรมที่สำคัญของภาคใต้คือฝั่งทะเลด้านตะวันออกของภาค มีลักษณะเป็นชุมชนใหญ่ ซึ่งต่างจากภาคตะวันตกที่มีเพียงกระบี่ ตรัง พังงา และสตูล เท่านั้น เขื่อนที่สำคัญของภาคใต้มี ๒ เขื่อนคือ เขื่อนขางลางและเขื่อนรัชประภา
การดำเนินชีวิต เนื่องจากพื้นที่ภาคใต้มีดินแดนที่ติดทะเลทั้งสองชายฝั่ง คือชายฝั่งด้านตะวันออกและชายฝั่งด้านตะวันตก จึงเป็นผลดีในการดำเนินชีวิตของประชากรส่วนใหญ่ นอกจากนี้ สภาพพื้นที่ราบ ที่มีแม่น้ำไหลผ่านหลายสาย ส่งผลให้ประชากรส่วนใหญ่ดำเนินชีวิตภาคเกษตรกรรมได้เป็นอย่างดี และเมื่อมีการเปรียบเทียบรายได้จะดีกว่าทุกภาคของประเทศไทย
๑. อาชีพ จากลักษณะพื้นที่เสริมให้ประชากรซีกฝั่งตะวันตก มีอาชีพการประมง ล่าสัตว์ มีการทำไร่ ต่อมาเมื่อมีการติดต่อค้าขายกับบรรดาพ่อค้าที่แล่นเรือในคาบสมุทรอินเดียทำให้มีการผสมผสานระหว่างพ่อค้ากับชาวพื้นเมืองกลายเป็นชุมชนใหญ่ มีการทำเหมืองแร่ และ ค้าขายกันมากขึ้น ซีกด้านตะวันออกนั้น มักจะมีการทำสวนยาง สวนผลไม้ ปลูกพืช เลี้ยงสัตว์ อาชีพที่เกี่ยวกับหัตถกรรม เช่น เครื่องจักสาน เสื่อลำเจียกที่กระบี่ เสื่อกระจูดที่พัทลุง ย่านลิเภาที่นครศรีธรรมราช ต่างเป็นงานฝีมือที่มีลักษณะโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ของภาคใต้
การดำเนินชีวิต เนื่องจากพื้นที่ภาคใต้มีดินแดนที่ติดทะเลทั้งสองชายฝั่ง คือชายฝั่งด้านตะวันออกและชายฝั่งด้านตะวันตก จึงเป็นผลดีในการดำเนินชีวิตของประชากรส่วนใหญ่ นอกจากนี้ สภาพพื้นที่ราบ ที่มีแม่น้ำไหลผ่านหลายสาย ส่งผลให้ประชากรส่วนใหญ่ดำเนินชีวิตภาคเกษตรกรรมได้เป็นอย่างดี และเมื่อมีการเปรียบเทียบรายได้จะดีกว่าทุกภาคของประเทศไทย
๑. อาชีพ จากลักษณะพื้นที่เสริมให้ประชากรซีกฝั่งตะวันตก มีอาชีพการประมง ล่าสัตว์ มีการทำไร่ ต่อมาเมื่อมีการติดต่อค้าขายกับบรรดาพ่อค้าที่แล่นเรือในคาบสมุทรอินเดียทำให้มีการผสมผสานระหว่างพ่อค้ากับชาวพื้นเมืองกลายเป็นชุมชนใหญ่ มีการทำเหมืองแร่ และ ค้าขายกันมากขึ้น ซีกด้านตะวันออกนั้น มักจะมีการทำสวนยาง สวนผลไม้ ปลูกพืช เลี้ยงสัตว์ อาชีพที่เกี่ยวกับหัตถกรรม เช่น เครื่องจักสาน เสื่อลำเจียกที่กระบี่ เสื่อกระจูดที่พัทลุง ย่านลิเภาที่นครศรีธรรมราช ต่างเป็นงานฝีมือที่มีลักษณะโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ของภาคใต้
๒. คติความเชื่อ ชาวไทยภาคใต้มีศรัทธาในศาสนาอย่างแรงกล้า เชื่อว่าศาสนาเป็นศูนย์กลางของการสร้างสรรค์ ความเชื่อในกฎแห่งกรรม โดยมีจุดรวม ๓ จุด คือ อดีตชาติ ปัจจุบันชาติ และอนาคตชาติ วรรณกรรมชาวใต้มีเรื่องที่แตกแขนงไปจากไตรภูมิพระร่วง คือ ไตรโลกวิถาน กล่าวถึงความเป็นไปของมนุษย์ นรก และ สวรรค์ มีความเชื่อเกี่ยวกับเรื่องพระมาลัย เป็นวรรณกรรมที่สะท้อนให้เห็นกฎแห่งกรรม ความเชื่อเรื่องผี ชาวไทยภาคใต้มีบ้างโดยเชื่อว่าสิ่งทั้งหกลายในธรรมชาติจะมีผู้พิทักษ์รักษา เช่น ป่ามีเจ้า ต้นไม้มีเทพารักษ์ ห้วงสมุทรมีนางมณีเมขลา แผ่นดินมีแม่พระธรณี เป็นต้น
๓. ที่อยู่อาศัย ลักษณะบ้านไทยชาวใต้โดยทั่วไป อย่างน้อยครอบครัวหนึ่งจะต้องมีเรือนสองหลัง หลังที่หนึ่งเป็นเรือนนอนหรือเรือนพักผ่อน ปลูกให้ส่วนยาวไปทางทิศตะวันตก และทิศตะวันออก เรียกว่า “ลอยหวัน ” ถือเป็นทิศที่เป็นมงคล ส่วนหลังที่สองเรียกว่าเรือนครัว มีสองถึงสามห้อง ใช้เป็นห้องครัวหนึ่งห้อง อีกหนึ่งถึงสองห้องใช้เป็นห้องเก็บข้าวเลียง เรียกว่า “ลอมข้าว”
โดยทั่วไปไทยภาคใต้จะใช้ไม้เนื้อแข็งในการปลูกบ้านเรือนปลูกเป็นรูปทรงที่เรียกว่า “ทรงช้างเยี่ยว”โดยปลูกยกพื้นสูงประมาณ ๑.๕๐ – ๒.๐๐ เมตร นิยมที่จะปลูกใกล้กับทางเดิน ทำน้ำใกล้นาและบ่อ เมื่อเวลาฝนตกจะช่วยลดภาวะน้ำท่วมได้ดี
ใต้ถุนบ้าน ใช้ทำงานทั่วๆ ไป เช่นทอผ้าจักสาน หรือใช้ทำคอกวัว เลี้ยงเป็ด ไก่ หมู เป็นต้น ฝาบ้านทำด้วยไม้เนื้อแข็ง เป็นแบบที่ชาวบ้านเรียกว่า “ ร่องตีนช้าง ” ประตู ช่องลม หน้าต่าง ทั่วไปมีลักษณะคล้ายเรือนไทยภาคกลาง หน้าจั่ว ไทยภาคใต้เรียกว่า “ หุ้มกลอง ” นิยมปิดทึบ ชานเรือน เรียกว่านอกชาน นิยมโล่ง ไม่มีหลังคาคลุม
บ้านเรือนทางภาคใต้ โดยทั่วไปแล้วจะปลูกสร้างแข็งแรง ใช้ไม้เนื้อแข็ง ทั้งนี้เพราะภูมิประเทศมีฝนตกชุก ลมแรง มีพายุในทุกปีของฤดูฝน บ้านเรือนของไทยภาคใต้จึงไม่นิยมใช้ไม้ไผ่เท่าใดนัก
โดยทั่วไปไทยภาคใต้จะใช้ไม้เนื้อแข็งในการปลูกบ้านเรือนปลูกเป็นรูปทรงที่เรียกว่า “ทรงช้างเยี่ยว”โดยปลูกยกพื้นสูงประมาณ ๑.๕๐ – ๒.๐๐ เมตร นิยมที่จะปลูกใกล้กับทางเดิน ทำน้ำใกล้นาและบ่อ เมื่อเวลาฝนตกจะช่วยลดภาวะน้ำท่วมได้ดี
ใต้ถุนบ้าน ใช้ทำงานทั่วๆ ไป เช่นทอผ้าจักสาน หรือใช้ทำคอกวัว เลี้ยงเป็ด ไก่ หมู เป็นต้น ฝาบ้านทำด้วยไม้เนื้อแข็ง เป็นแบบที่ชาวบ้านเรียกว่า “ ร่องตีนช้าง ” ประตู ช่องลม หน้าต่าง ทั่วไปมีลักษณะคล้ายเรือนไทยภาคกลาง หน้าจั่ว ไทยภาคใต้เรียกว่า “ หุ้มกลอง ” นิยมปิดทึบ ชานเรือน เรียกว่านอกชาน นิยมโล่ง ไม่มีหลังคาคลุม
บ้านเรือนทางภาคใต้ โดยทั่วไปแล้วจะปลูกสร้างแข็งแรง ใช้ไม้เนื้อแข็ง ทั้งนี้เพราะภูมิประเทศมีฝนตกชุก ลมแรง มีพายุในทุกปีของฤดูฝน บ้านเรือนของไทยภาคใต้จึงไม่นิยมใช้ไม้ไผ่เท่าใดนัก
เครื่องจักสานย่านลิเภา ภูมิปัญญาท้องถิ่นภาคใต้
เครื่องจักสานย่านลิเภา เป็นเครื่องจักสานประเภทหนึ่ง ที่สานด้วยย่านลิเภา ซึ่งเป็นพืชตระกูลเฟิร์น หรือ เถาวัลย์ชนิดหนึ่ง (ภาษาท้องถิ่นภาคใต้เรียกเถาวัลย์ว่า “ย่าน”) มีคุณสมบัติที่ดี คือ ลำต้นเหนียว ชาวบ้านจึงนำมา จักสานเป็นภาชนะเครื่องใช้ต่างๆ แหล่งผลิตที่สำคัญ ของเครื่องจักสานย่านลิเภาอยู่ที่บ้านหมน ตำบลท่าเรือ อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช และกลายเป็นสินค้าที่มีชื่อเสียงในปัจจุบัน ทั้งในประเทศและต่างประเทศ สามารถสร้างอาชีพ สร้างรายได้ ให้แก่ประชาชนในท้องถิ่น รวมถึงทำให้เศรษฐกิจของภูมิภาคดีขึ้น เนื่องจากเป็นสินค้าที่เป็นหัตถกรรมชั้นสูง และมีราคาค่อนข้างแพง
ประวัติความเป็นมาและที่อยู่ของย่านลิเภา
เครื่องจักสานย่านลิเภา จัดว่าเป็นงานฝีมือชั้นเยี่ยมของชาวภาคใต้ โดยเฉพาะที่จังหวัดนครศรีธรรมราช ถือเป็นแหล่งที่มีชื่อเสียง ในงานหัตถกรรมชนิดนี้มากที่สุด มีกำเนิดจากการจักสานย่านลิเภา เป็นข้าวของเครื่องใช้พื้นบ้าน ที่มีเอกลักษณ์สืบทอดจากบรรพบุรุษหลายร้อยปี จนกระทั่งเป็นที่รู้จักของคนเมืองเหลวง เมื่อเจ้านายจากหัวเมืองใต้ นำขึ้นมาถวายในราชสำนัก และเผยแพร่ในหมู่เจ้านาย มาตั้งแต่สมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ จนในปี พ.ศ.2513 สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ ทรงมีพระราชดำริ ให้สอนการสานย่านลิเภาในโครงการศิลปาชีพ มีการพัฒนารูปแบบได้อย่างสวยงามประณีต เป็นที่นิยมอย่างกว้างขวางทั้งระดับท้องถิ่น ภูมิภาค และทั่วประเทศ ด้วยคุณสมบัติเฉพาะตัวของย่านลิเภา ที่มองๆ ดูก็คล้ายๆ กับเถาวัลย์นั้น จะมีความเหนียว ทนทานอายุใช้งานมากเป็นร้อยๆ ปี คงทนมากกว่าผักตบชวา หรือหวาย แต่กว่าที่เราจะได้ลิเภาจากป่ามา 1เส้นนั้น จะต้องอาศัยทั้งความชำนาญ และประสบการณ์ในการมองหา แยกให้ออกว่าต้นไหน คือ หญ้า หรือต้นไหน คือ ลิเภากันแน่
เครื่องจักสานย่านลิเภา จัดว่าเป็นงานฝีมือชั้นเยี่ยมของชาวภาคใต้ โดยเฉพาะที่จังหวัดนครศรีธรรมราช ถือเป็นแหล่งที่มีชื่อเสียง ในงานหัตถกรรมชนิดนี้มากที่สุด มีกำเนิดจากการจักสานย่านลิเภา เป็นข้าวของเครื่องใช้พื้นบ้าน ที่มีเอกลักษณ์สืบทอดจากบรรพบุรุษหลายร้อยปี จนกระทั่งเป็นที่รู้จักของคนเมืองเหลวง เมื่อเจ้านายจากหัวเมืองใต้ นำขึ้นมาถวายในราชสำนัก และเผยแพร่ในหมู่เจ้านาย มาตั้งแต่สมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ จนในปี พ.ศ.2513 สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ ทรงมีพระราชดำริ ให้สอนการสานย่านลิเภาในโครงการศิลปาชีพ มีการพัฒนารูปแบบได้อย่างสวยงามประณีต เป็นที่นิยมอย่างกว้างขวางทั้งระดับท้องถิ่น ภูมิภาค และทั่วประเทศ ด้วยคุณสมบัติเฉพาะตัวของย่านลิเภา ที่มองๆ ดูก็คล้ายๆ กับเถาวัลย์นั้น จะมีความเหนียว ทนทานอายุใช้งานมากเป็นร้อยๆ ปี คงทนมากกว่าผักตบชวา หรือหวาย แต่กว่าที่เราจะได้ลิเภาจากป่ามา 1เส้นนั้น จะต้องอาศัยทั้งความชำนาญ และประสบการณ์ในการมองหา แยกให้ออกว่าต้นไหน คือ หญ้า หรือต้นไหน คือ ลิเภากันแน่
สถานที่ที่พบย่านลิเภาได้ง่ายมีมากทางภาคใต้ คือจังหวัดนครศรีฯ สตูล สงขลา ยะลา ปัตตานี นราธิวาส เป็นต้น
ย่านลิเภาเป็นพืชล้มลุกในตระกูลเฟิร์น แบ่งได้เป็น 3 ชนิด
1) ย่านลิเภาเขา คล้ายกับต้นหวาย ลำต้นใหญ่ มักใช้มัดสิ่งของ
2) ย่านลิเภาหยอง ใบหยิก ลำต้นเล็ก ไม่นิยมนำมาแปรรูป
3) ย่านลิเภาที่ขึ้นอยู่ตามป่าละเมาะหรือชายป่า ลำต้นเรียวงาม เปลือกเหนียวมี 2 แบบ คือ ลำต้นสีดำและลำต้นสีน้ำตาล โดยทั่วไปลำต้นสีน้ำตาลจะมีความยาวและลำต้นที่โตกว่า และจะมีคุณสมบัติที่เหนียวกว่า
1) ย่านลิเภาเขา คล้ายกับต้นหวาย ลำต้นใหญ่ มักใช้มัดสิ่งของ
2) ย่านลิเภาหยอง ใบหยิก ลำต้นเล็ก ไม่นิยมนำมาแปรรูป
3) ย่านลิเภาที่ขึ้นอยู่ตามป่าละเมาะหรือชายป่า ลำต้นเรียวงาม เปลือกเหนียวมี 2 แบบ คือ ลำต้นสีดำและลำต้นสีน้ำตาล โดยทั่วไปลำต้นสีน้ำตาลจะมีความยาวและลำต้นที่โตกว่า และจะมีคุณสมบัติที่เหนียวกว่า
วัสดุ อุปกรณ์ที่ใช้ในการทำเครื่องจักรสานย่านลิเภา
วัสดุ
วัสดุ
ลิเภา มี 2 ชนิด คือ สีน้ำตาลและสีดำ โดยสีน้ำตาลมี 2 โทน คือน้ำตาลอมแดง และน้ำตาลอมเหลือง
ลาน มีสีขาวใช้ประกอบในการทำลวดลาย
หวาย ใช้ประกอบเป็นหูหิ้วหรือขอบโครง
ไม้ไผ่ ใช้ทำซี่กระเป๋า ซึ่งจะใช้เป็นเส้นยึดให้เกิดลวดลาย
ไม้เนื้ออ่อน ใช้ขึ้นรูปทรงกระเป๋าหรือผลิตภัณฑ์
อุปกรณ์
ลาน มีสีขาวใช้ประกอบในการทำลวดลาย
หวาย ใช้ประกอบเป็นหูหิ้วหรือขอบโครง
ไม้ไผ่ ใช้ทำซี่กระเป๋า ซึ่งจะใช้เป็นเส้นยึดให้เกิดลวดลาย
ไม้เนื้ออ่อน ใช้ขึ้นรูปทรงกระเป๋าหรือผลิตภัณฑ์
อุปกรณ์
มีด ใช้ในการขูดเส้นลิเภาเพื่อให้ได้ตามความต้องการ
เหล็กแหลมหรือเข็ม ใช้เจาะรูที่โครงกระเป๋าเพื่อเสียบไม้ไผ่ และช่วยในการจัดลาย
แผ่นโลหะเจาะรู้ ใช้ในการขูดเกลาให้ย่านลิเภาและไม้ไผ่ที่ใช้ในการทำผลิตภัณฑ์ มีขนาดเท่ากัน
ปลอกนิ้ว ทำด้วยผ้าหนาๆ ใช้สวมนิ้วเวลาขูดย่านลิเภา
กาวลาเท็กซ์ ใช้ทาส้นลิเภาให้ยึดติดกับโครงแบบที่จะทำ หรือใช้ยึดส่วนประกอบของกระเป๋า
เหล็กแหลมหรือเข็ม ใช้เจาะรูที่โครงกระเป๋าเพื่อเสียบไม้ไผ่ และช่วยในการจัดลาย
แผ่นโลหะเจาะรู้ ใช้ในการขูดเกลาให้ย่านลิเภาและไม้ไผ่ที่ใช้ในการทำผลิตภัณฑ์ มีขนาดเท่ากัน
ปลอกนิ้ว ทำด้วยผ้าหนาๆ ใช้สวมนิ้วเวลาขูดย่านลิเภา
กาวลาเท็กซ์ ใช้ทาส้นลิเภาให้ยึดติดกับโครงแบบที่จะทำ หรือใช้ยึดส่วนประกอบของกระเป๋า
ขั้นตอนและวิธีการทำหัตถกรรมย่านลิเภา
ขั้นทำโครง
1. โครงแบบเสียบซี่ ใช้กับไม้ไผ่ที่นำมาเสียบให้ขนานกัน
ขั้นทำโครง
1. โครงแบบเสียบซี่ ใช้กับไม้ไผ่ที่นำมาเสียบให้ขนานกัน
ขั้นเตรียมย่านลิเภา
1. การปอก เพื่อเอาเปลือกมาทำย่านลิเภา
2. การชักเลียด เพื่อให้ได้ขนาดย่านลิเภาที่เท่ากัน
3. การขูด เพื่อให้ย่านลิเภามีความมันและเหนียว
4. การสาน นำไปขัดกับโครงเพื่อขึ้นลาย
1. การปอก เพื่อเอาเปลือกมาทำย่านลิเภา
2. การชักเลียด เพื่อให้ได้ขนาดย่านลิเภาที่เท่ากัน
3. การขูด เพื่อให้ย่านลิเภามีความมันและเหนียว
4. การสาน นำไปขัดกับโครงเพื่อขึ้นลาย
ผลิตภัณฑ์ ที่เกิดจากย่านลิเภา
มี 2 แบบ
1. แบบทึบ ใช้เพียงย่านลิเภาและหวาย
2. แบบโปร่ง ใช้วิธีการเดียวกับการทอผ้า
มี 2 แบบ
1. แบบทึบ ใช้เพียงย่านลิเภาและหวาย
2. แบบโปร่ง ใช้วิธีการเดียวกับการทอผ้า
ภูมิปัญญาไทย จากใบกะพ้อ
ต้นกะพ้อ หรือที่คนใต้เรียกว่าต้นพ้อ นี้ เป็นพืชพื้นเมืองที่มีอยู่ทั่วไปทางภาคใต้ ขึ้นอยู่ในป่าพรุ หรือตามหัวไร่ปลายนา หรือตามระว่างแถวในสวนยางพารา เป็นพืชที่อยู่ในตระกูลเดียวกับปาล์ม ลำต้นแตกหน่อออกเป็นกอ สูงประมาณ ๑-๓ เมตร ใบมีลักษณะคล้ายรูปพัด เป็นพืชที่ให้ประโยชน์ทั้งต้น ใบอ่อนใช้ห่อขนมต้ม ที่อ่อนมากๆ ทำแกงเลียง แกงส้ม หรือทำผัดน้ำพริกได้ ใบแก่เอามาทำเครื่องจักสาน เสื่อ พัด ลูกกะพ้อเป็นยาระบาย ลำต้นเอามาทำเสารั้วและนำมาปลูกไว้ข้างบ้านเพื่อความร่มรื่นสวยงาม
ส่วนใบพ้อ นำมาใช้ “แทงต้ม“ ขนมที่ชาวปักษ์ใต้รู้จักกันดี หรือที่เรียกกันว่า “ขนมต้ม” หรือ “ต้ม” เป็นข้าวต้มลูกโยนชนิดหนึ่งที่ทำในเทศกาลบุญชักพระของชาวใต้ และยังเป็นขนมที่ใช้ในงานประเพณีหลายๆ งานในท้องถิ่นภาคใต้ ที่ใช้กันเป็นหลักคือในงานบุญออกพรรษา การตักบาตรเทโว งานชักพระ งานเดือนสิบ และงานบวช ซึ่งเป็นที่รู้กันทั่วไปแต่ในที่นี้ขอนำเสนอภูมิปัญญาของชาวบ้านที่นำใบกะพ้อมาจักสานเป็นพัด เรียกว่า “พัดใบกะพ้อ” หรือ “พัดใบพ้อ” ซึ่งเป็นงานหัตถกรรมจักสานประเภทหนึ่งที่เป็นผลผลิตจากภูมิปัญญาของชาวบ้าน นับเป็นเอกลักษณ์หนึ่งของภาคใต้ โดยเฉพาะในอำเภอร่อนพิบูลย์ และที่บ้านสวนเลา อำเภอจุฬาภรณ์ จังหวัดนครศรีธรรมราช พื้นที่ที่ผลิตกันจนมีชื่อเสียงในเรื่องพัดใบพ้อ ก็คือหมู่บ้านโคกยาง
ลวดลายในการสาน เพื่อขึ้นรูปทรงเครื่องจักสานนั้น เป็นวิธีการของแบบแผนที่มีระบบอย่างหนึ่ง เพื่อการสร้างโครงสร้างให้เกิดการเชื่อมต่อซ้ำๆ กันไปโดยใช้ลักษณะการขัดกันของเส้นตอก หรือวัสดุอื่นที่ใช้จักสานได้ เพื่อให้เกิดแรงยึดเหนี่ยวระหว่างกันจนกลายเป็นผืนแผ่น เพื่อเป็นผนังของโครงสร้างเครื่องจักสานตามต้องการ ลายจักสานนั้นเป็นส่วนสำคัญที่สุดส่วนหนึ่งของการขึ้นโครงสร้างผลิตภัณฑ์ ประเภทเครื่องจักสาน จัดเป็นขบวนการความคิดสร้างสรรค์ของมนุษย์ที่เป็นระบบ ลายจักสานของไทยนั้น มีลวดลายและรูปแบบแตกต่างกันอย่างมาก ทั้งที่แตกต่างกัน ด้วยลักษณะของวัสดุที่ใช้ในการจักสานด้วย ดังนั้นการเลือกใช้ลายจักสานใด จึงขึ้นอยู่กับความเหมาะสม สนองประโยชน์ใช้สอยเป็นสำคัญ เช่น อาจใช้ลายขัดธรรมดา เพื่อให้เกิดความแข็งแรงทนทานและความสะดวกในการสาน หรือถ้าต้องการสานภาชนะที่มีตาต่างๆ เช่น ชะลอม เข่ง ก็มักจะสานด้วยลายเฉลา เป็นต้น

หลังจากนั้นก็เริ่มนำมาใช้ในบ้านเรือน โดยใช้พัดลมบรรเทาความร้อนในยามพักผ่อน และพัดลมในการติดไฟประกอบอาหาร ซึ่งใช้ได้ไม่นานก็เสื่อมสภาพ ต่อมามีการนำใบกะพ้อมาแยกเป็นกลีบแล้วสอดเป็นลายขัดทำเป็นพัดใบกะพ้อ ใช้ประโยชน์ได้มากกว่าเดิมแต่ฉีกขาดได้ง่าย เนื่องจากใบกะพ้อไม่เหนียวทน
วิวัฒนาการทำพัดใบกะพ้อจากการใช้ใบมาเป็นยอดกะพ้อที่ยังกลม โดยนำมาแยกกลีบใบแล้วลวกน้ำร้อนทำให้พัดใบกะพ้อมีความทนทาน ฉีดขาดได้ยาก มีสีขาวดูแล้วสวยงาม มีการตกแต่งด้ามพัดด้วยหวายที่มีความประณีต
การประกอบอาชีพทำสวนผลไม้ นำผลไม้มาขายตามตลาดนัดต่างๆ และนำพัดใบกะพ้อมาใช้พัดลมในระหว่างที่ขายผลไม้ ทำให้แม่ค้าในตลาดนัดเกิดความสนใจพัดใบกะพ้อมาใช้แทนกระดาษหนาที่ใช้พัดลม
การทำพัดใบกะพ้อเพื่อจำหน่ายจึงเริ่มขึ้นจากตลาดนัดเล็กๆ เป็นตลาดประจำอำเภอ ประจำจังหวัด และจังหวัดอื่นๆ ในภาคใต้ ตลอดจนตลาดในกรุงเทพมหานคร
ในปัจจุบันพัดใบกะพ้อได้รับการส่งเสริมจากสำนักงานพัฒนาชุมชนอำเภอร่อนพิบูลย์ และอำเภอจุฬาภรณ์จังหวัดนครศรีธรรมราช โดยการจัดตั้งเป็นกลุ่มในหมู่บ้านดังนี้
๑. กลุ่มหัตถกรรมจักสานพัดใบกะพ้อบ้านโคกยาง หมู่ที่ ๑๐ ตำบลร่อนพิบูลย์ อำเภอร่อนพิบูลย์ จังหวัดนครศรีธรรมราช
๒. กลุ่มหัตถกรรมจักสานพัดใบกะพ้อบ้านสวนเลา หมู่ที่ ๕ ตำบลทุ่งโพธิ์ อำเภอจุฬาภรณ์ จังหวัดนครศรีธรรมราช
การทำพัดใบกะพ้อ เริ่มจะมีอุปสรรคเนื่องจากวัตถุดิบที่นำใช้ผลิตเป็นวัสดุเกิดขึ้นตามธรรมชาติ ราษฎรที่ไม่ได้ประกอบอาชีพจักสานพัดใบกะพ้อ จะทำลายต้นกะพ้อในพื้นที่ของตน เพื่อปลูกยางพาราและผลไม้ ทำให้ยอดกะพ้อมีไม่เพียงพอ ซึ่งจะมีแต่ป่าสงวนแห่งชาติเท่านั้นที่ยังมีต้นกะพ้ออยู่ตามธรรมชาติ ราษฎรที่อาศัยอยู่ใกล้ป่าสงวนแห่งชาติ จะตัดยอดกะพ้อมาจำหน่าย ทางสำนักงานพัฒนาชุมชนอำเภอร่อนพิบูลย์ อำเภอจุฬาภรณ์ เทศบาลตำบลร่อนพิบูลย์ และองค์การบริหารส่วนตำบลทุ่งโพธิ์ จึงได้สนับสนุนงบประมาณให้กลุ่มหัตถกรรมจักสานพัดใบกะพ้อ ปลูกต้นกะพ้อเป็นพืชแซมในสวนยางพารา เพื่อเป็นการอนุรักษ์หัตถกรรมจักสานพัดใบกะพ้อ ให้คงอยู่ในชุมชน




ขั้นตอนการสานพัดใบกะพ้อ
การเตรียมใบกะพ้อก่อนนำมาใช้สานพัด
ตากแดดไว้ ๑ วัน ลวกน้ำร้อน ๑ นาที ตากแดดไว้อีก ๓ วัน
๑. การก่อพัดนำน้ำอุ่นมาพรมใบกะพ้อที่จะใช้จักสานหรือชุบน้ำให้เปียกพอทั่ว ห่อด้วยผ้า ทิ้งไว้ประมาณ ๑๐-๒๐ นาที เพื่อให้ใบกะพ้อที่แห้งอ่อนตัว และเกิดความเหนียวไม่แตกขณะสาน นำยอดกะพ้อที่นิ่มดีแล้ว แยกตรงกลางนับตอกข้างซ้ายและข้างขวาให้เท่ากัน จำนวนตอกตามความเหมาะสม เช่น พัดขนาดกลางนับข้างละ ๑๘ ตอก พัดขนาดใหญ่ข้างละ ๒๒ ตอก ส่วนที่เหลือทั้งสองข้างก็ให้ดึงออกนำมาใช้เป็นตอกก่อสานพัด
๒. การขึ้นพัด นำใบกะพ้อที่เตรียมไว้วางบนพื้น หันก้านเข้าหาตัวผู้สาน ใช้เท้าด้านหนึ่งเหยียบก้านใบกะพ้อให้กระชับ แผ่ใบกะพ้อออกเป็นตอก ทำเป็นตอกยืน นำตอกกะพ้อมาสลับหัวสลับหางซ้อนกันเป็นคู่ จะเริ่มวางตอกก่อข้างใดข้างหนึ่งก็ได้ แล้วจัดสานขัดเป็นลายขัดให้ได้ ๓ คู่ จัดดึงตอกให้อยู่ในสภาพที่เรียบร้อย พร้อมที่จะจัดสานก่อลายขัดอีกข้างหนึ่ง เมื่อก่อตอกก่อ ๓ คู่ ทั้งสองข้างเสร็จแล้ว ให้นำตอกสองข้างมาขัดกันเองสานขัดเข้ากับตอกยืนแบบลายขัดไทย โดยการยกตอก ๑ ตอก แล้วข่มตอกอีก ๑ ตอก ไปเรื่อยๆ จนสุดตอก ในกรณีที่ต้องการทำพัดย้อมสีตอกบางตอนให้นำตอกที่ย้อมสีแล้ว แทรกเข้าเป็นตอกยืนหรือตอกขัดตามแนวที่ต้องการ
๓. การเวียนพัด เมื่อขึ้นพัดเสร็จแล้ว ต้องจัดตอกให้แน่นพอดี ปลายตอกที่เหลือให้สานกลับลงมา ดึงขัดและต้องจัดรูปทรงให้สวยงาม ปลายตอกที่เหลือให้รวบมัดไว้ที่ก้านให้มีขนาดพอเหมาะเพื่อเตรียมไว้ทำเป็นด้ามพัด
๔. การนำพัดที่สานเสร็จแล้วไปตากแดด นำพัดที่สานเสร็จแล้วไปตากแดดจัดๆ อีกครั้งเพื่อป้องกันเชื้อรา
๕. การพันด้ามพัด ทำท่อนหวายสั้นๆ หรือไม้ไผ่ที่เตรียมไว้นำมาตัดให้โค้งประกบค่อมปลายก้านใบกะพ้อไว้ ให้ช่วงโค้งห่างจากปลายก้านใบราว ๑ นิ้ว นำเชือกหวายมาพันทับหวายที่ประกบก้านใบ พันให้แน่นและละเอียดที่สุด จากนั้นจึงสอดห่วงหูตรงปลายด้ามของพัดให้ประณีตและตกแต่งให้สวยงาม



อธิบายความตามลำดับภาพ
ภาพ ๑. ตากแดด ๑ วัน ภาพ ๒. ลวกน้ำร้อน ๑ นาที และ ภาพ ๓. นำไปตากแดดไว้อีก ๓ วัน
ในอดีตพัดใบกะพ้อ ใช้ประโยชน์ในการพัดลมคลายความร้อนเพียงอย่างเดียว แต่หลังจากสำนักงานพัฒนาชุมชนอำเภอ ได้จัดตั้งกลุ่มผู้ผลิตพัดใบกะพ้อ ก็ได้ส่งเสริมให้มีการทำผลิตภัณฑ์จากพัดใบกะพ้อ อย่างเช่น การทำพัดใบกะพ้อขนาดเล็ก กว้างประมาณ ๘-๑๐ เซนติเมตร ย้อมเป็นสีต่างๆ สวยงาม ใช้เป็นของที่ระลึกในเทศกาลต่างๆ เช่น งานมงคลสมรส งานศพ
การนำพัดใบกะพ้อ มาตกแต่งเป็นดอกไม้ประดับแจกัน ตั้งโต๊ะรับแขก หรือกระเช้าของขวัญ
การนำพัดใบกะพ้อมาตกแต่งในเทศกาลต่างๆ เช่น ตกแต่งกระทง ตกแต่งขบวนหฺมฺรับ
นอกจากนั้นวิทยาลัยนาฏศิลปนครศรีธรรมราช ได้นำพัดใบกะพ้อมาใช้เป็นอุปกรณ์ประกอบการแสดง และนำมาประยุกต์เป็นเครื่องประดับการแต่งกายของนักแสดง “ระบำพัดใบกะพ้อ” ซึ่งเป็นการประชาสัมพันธ์ ส่งเสริมและอนุรักษ์ สืบทอดอาชีพทำพัดใบกะพ้อให้เป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลาย
ที่มา : ภูมิปัญญาไทยจากใบกะพ้อ วารสาร "สารนครศรีธรรมราช" จัดพิมพ์เผยแพร่โดย องค์การบริหารส่วนจังหวัดนครศรีธรรมราช
ขอขอบคุณ : สำนักปลัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครศรีธรรมราช ที่ให้ความอนุเคราะห์ข้อมูล
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น